“หมอดื้อ” ขยายความให้ความรู้กรณีผลข้างเคียงหลายคนหลังฉีดวัคซีนซิโนแวค เส้นเลือดเกร็งและหดตัว ชี้ มีทางแก้ แต่หากหดเกร็งนานเกินไปเสี่ยงพิการถาวร
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ระบุ ถึงแม้ว่าจะมีผลข้างเคียง และพวกเราต้องขอบพระคุณอาจารย์หมอทางสมองหลายท่าน รวมทั้งอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ และสถาบันประสาท เป็นต้น ที่มีคำอธิบายแล้ว ลักษณะที่เกิดขึ้นทำให้เส้นเลือดเกร็งและหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อสมองไม่เพียงพอ และอาจเกิดขึ้นจนทำให้มีอาการเฉพาะส่วนได้ พิสูจน์แล้วจากการสอดสายฉีดสีเข้าเส้นเลือดสมองและให้ยาขยายเส้นเลือดผู้ป่วย อาการดีขึ้นทันที แต่ในขณะเดียวกัน ต้องระวังว่าถ้าเส้นเลือดเกร็งและหดตัวนานจะเกิดเส้นเลือดตันซ้ำซ้อนและเนื้อสมองตายถาวร ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือด หลายแห่งใช้วิธีนี้แล้วผู้ป่วยดีขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ การเกิดไม่น่าจากตัววัคซีนเอง แต่ควรจะมีสิ่งปนเปื้อนในขณะเตรียมหรือการบรรจุขวด ซึ่งทางการจะได้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตถึงความผิดปกตินี้ โดยเอกสารแนบส่วนประกอบของวัคซีนจะไม่สามารถธิบายสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ ขั้นตอนที่ต้องทำคือ ฉีดวัคซีนต่อและเตรียมการเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 30 นาที และมีข้อระวังตัวอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เมื่อกลับไปบ้าน โดยสามารถให้การรักษาได้ทัน
ขณะที่เกิดอาการยาที่ขยายหลอดเลือดทุกโรงพยาบาลมีอยู่แล้ว ทั้งที่เป็นยากิน และถ้าไม่ได้ผลจะเป็นในรูปการสอดใส่สายเข้าในเส้นเลือดเพื่อให้ยาขยายหลอดเลือด ฟังดูเหมือนเป็นกระบวนการยุ่งยากแต่ปฏิบัติได้แน่นอนและไม่ควรเป็นอุปสรรคสำหรับการให้วัคซีนสำหรับคนไทยทุกๆ คน
ในช่วงท้าย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เผยเพิ่มเติมว่า โรคดังกล่าวทราบดีมาแต่โบราณ Vasospastic Amaurosis Fugax ที่ตาบอดข้างเดียว หรือ 2 ข้าง และ Reversible Cerebral Vasoconstriction Syndrome (RCVS) ซึ่งมีลักษณะทับซ้อนกับ Posterior reversible encephalopathy syndrome (PRES) รวมทั้งไมเกรนที่มีผลแทรกซ้อน ทางหลอดเลือดเกร็ง กลุ่มอาการเหล่านี้ แม้ว่าส่วนมากจะกลับคืนมาได้เอง ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมการตรวจคอมพิวเตอร์สมอง (Computerized Tomography : CT Scan) หรือคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging : MRI) จะไม่เจอความผิดปกติ 70% แต่ผู้ป่วยที่มีการหดเกร็งนานโดยเฉพาะในกรณีของวัคซีนนี้จะทำให้เส้นเลือดตันและเกิดความพิการถาวรได้.
อ่านเพิ่มเติม...
ผลข้างเคียงวัคซีนซิโนแวค มีทางแก้ แต่หากเส้นเลือดหดเกร็งนานเสี่ยงพิการถาวร - ไทยรัฐ
Read More
No comments:
Post a Comment