เราจะไปทางไหน ? ‘ยุกติ’ มอง ราษฎร 63 ส่องแสง ‘ทะลุ 5 กำแพง’ ฝากทลาย 4 พรมแดน – สู้อย่างสันติ จน ปชช.เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 10 พฤษภาคม ที่ สกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรกาศการนัดหมายทำกิจกรรม “เปิดไฟให้ดาว” (LightUp Justice) โดยเครือข่าย People Go Network ซึ่งมีการร่ายรำ อ่านบทกวี บรรเลงดนตรี และปราศรัย
สำหรับกิจกรรมวันนี้ มี รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์, น.สพ.บูรณ์ อารยพล หรือ หมอบูรณ์ กลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน, น.ส.พลอยวรินทร์ ชิวารักษ์ หรือ พ้อย น้องสาวของนายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน และ นายสิรภพ อัตโตหิ หรือ แรปเตอร์ แกนนำกลุ่มเสรีเทยพลัส มาร่วมด้วย
ต่อมา เวลา 18.12 น. ประชาชนต่อแถวเข้ารับดาวกระดาษสีรุ้ง สำหรับใช้ในการทำกิจกรรมเปิดไฟให้ดาว เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวผู้ต้องหาคดีการเมือง โดยมีการวัดอุณหภูมิ และบริการเจลล้างมือ ผู้ร่วมกิจกรรมตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เวลา 18.20 น. มีการอ่านรายชื่อผู้ต้องหา มาตรา 112 ต่อด้วยการทำกิจกรรม สนทนาปราศรัย “ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด” โดยนักวิชาการและแกนนำเยาวชน แลกเปลี่ยนมุมมองในหลายประเด็น
อ่านข่าว :
กิจกรรม “เปิดไฟให้ดาว” ‘ยิ่งชีพ’ ลั่น ประเทศนี้ต้องขับเคลื่อนด้วย ‘เสียงด่า’
‘เปิดไฟให้ดาว’ ร่ายกวีดนตรีปราศรัย ‘มายด์’ ชวนขัดเกลาความหวังให้แหลมคม
เวลา 18.43 น. รศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวปราศรัยในหัวข้อ “ส่องสว่างสังคมไทย” เราจะไปทางไหนกัน? ความว่า คณะราษฎร 2563 ได้ส่องแสงทะลุกำแพง 5 กำแพงด้วยกัน ก้าวไปข้างหน้าไปเรื่อยๆ อย่างสร้างสรรค์ และมีมิติที่น่าสนใจ
1.กำแพงชนชั้น คณะราษฎร 2563 ก้าวข้ามกำแพงชนชั้นมากที่สุดของไทย อานนท์ ลูกชาวนา ไมค์ ลูกกรรมกร ต่อสู้ร่วมกับนักศึกษา ต่างระดับทางสังคม และและชนชั้น การประสานกันของมวลชน จึงทียบเท่าขบวนการเคลื่อนไหวของนิสิต นักศึกษาในทศวรรษ 2510
2.กำแพงพื้นที่การเมือง คณะราษฎร 2563 ก้าวข้ามพื้นที่เชื่อมโยง ใน 3 ลักษณะ
2.1.ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
2.2.ปัจจุบัน ราษฎร มีมวลชนเข้าร่วม 1.ทั้งประเทศ และ 2.ข้ามประเทศ เหมือนคณะราษฎร 2475 ด้วยเครือข่ายออนไลน์ ผ่าน #milkteaalliance ฯลฯ
2.3.เขาขยับและพิสจน์การเคลื่อนไหว ทั้งในออนไลน์ และออฟไลน์ ได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่เกรียนคีย์บอร์ด สะท้อนปัญหาที่ใหญ่หลวงยิ่ง
3.กำแพงเพศสภาวะ ที่ผ่านมายังคงอยู่ในกรอบสังคม 2 เพศ หากในปัจจุบัน เราไปพ้นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ระหว่างชาย-หญิง บุคคลที่ขับเคลื่อนก็มีอัตลักษณ์ทางเพศ และการใช้ภาษาที่หลากหลาย สะท้อนการโอบรับความหลากหลายทางเพศ คือความปกติของสังคม ที่จะต้องได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ
4.กำแพงการมองคนไม่เท่ากัน การเรียกร้องสิทธิทางการเมือง ความโดดเด่น ของคณะราษฎร 2563 คือการทำลายระบบอาวุโส ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ตั้งคำถามกับเครื่องแบบ รวมถึงการละเมิดสิทธิของนักเรียนในโรงเรียน ด้วยการตั้งกลุ่มปกป้องสิทธินักเรียน อย่าง “นักเรียนเลว” เส้นเดิมที่ผู้ใหญ่ขีดไว้ พังทลายลง จึงเป็นไปได้อย่างยิ่ง ที่การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีเยาวชนอายุน้อยที่สุดเข้าร่วมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
5.กำแพงสถาบันศักดิ์สิทธิ์
รัฐบาลประยุทธ์ ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม และจับกุมคุมขัง โดยไม่ให้สิทธิประกัน แกนนำคณะราษฎรจึงกลายเป็นเหยื่อของกระบวนการทั้งหมด นับเป็นกระบวนการเปิดโปงความอำมหิตขนานใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
ในอนาคตอันใกล้ ยังมีอีก 4 พรมแดน ที่ต้องทลาย
1.ความมืดมนของคนรากหญ้า ต้องใช้แสงสิทธิมนุษยชนมากขึ้น เข้าใจปัญหา ชาติพันธุ์ กรรมกร แรงงานข้ามขาติ และการรวมศูนย์อำนาจ
2.ความมืดมนของกลไกอำนาจ จะต้องร่วมกันแสดงพลังการเคลื่อนไหวของมวลชน ทั้งในออนไลน์ และบนถนน ให้เกิดวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชน และเคารพการเห็นต่าง หาวิธีเข้าสู่ระบบการเมือง เปลี่ยนกลไก แก้รื้อรัฐธรรมนูญ กฎหมายควบคุมฝูงชน รวมถึงมาตรา 112
3.ความมืดทนทางวัฒนธรรมไทย อันมาจากการยังไม่เป็นประชาธิปไตย เกิดความต่างระหว่างรุ่น ที่ยังไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ยังเชื่อในเผด็จการ และระบอบคนดี คณะราษฎร 2573 จะต้องสื่อสารข้ามพรมแดน สร้างแนวร่วมคนเหล่านี้ ดึงคนเหล่านี้ออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เหล่านั้น เพราะคนดีไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ หากระบบไม่เอื้อให้มีส่วนร่วมทางการเมือง การเคารพความเป็นมนุษย์จะต้องเกิด เพราะระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่เป้าหมาย แต่คือหนทางสู่เป้าหมายที่ทำให้ประชาชนมีความสุขได้
4.ความมืดมนทางอนาคตของทุกคน แม้เรายังเชื่อมั่นว่า เวลาจะอยู่ข้างเรา แต่อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเมื่อคุณเติบโตมา มีอำนาจ อาจจะกลายเป็นพวกคุณเองที่ลืมเวลา ขอให้รอดู ว่าทำอย่างไรที่ตนจะไม่ถูกกลืนกับสิ่งที่ต่อต้าน ทำอย่างไร ไม่ให้เป็นคอมมิวนิสต์เลี้ยวขวา
คือตัวคุณเอง ที่จะเป็นอุปสรรคของตัวคุณในอนาคต
แม้ในวันนี้ ดวงดาวเราหลายดวงจะรอการปลดปล่อยจากการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม แต่มั่นใจว่า แสงดาวเราจะไม่ถูกกักขัง จะมั่นคง ว่าจะทําเพื่อให้พวกเขาได้อิสรภาพ และสานการต่อสู้แบบสันติ จนกว่าประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างแท้จริง” รศ.ดร.ยุกติกล่าว
จากนั้น เวลา 19.01 น. แก้วใส และชูเวช วงสามัญชน ขับกล่อมบทเพลงแสงดาวสายรุ้ง โดยมี นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน มาร่วมฟังด้วย
นายณัฐพงษ์ ภูแก้ว หรือ ‘แก้วใส’ นักร้อง และมือกีตาร์วงสามัญชน กล่าวว่า ไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหน หรือเพียงกรงขังมากั้นเรา แต่ความเชื่อยังคงเดิม
จากนั้นบรรเลงเพลง “บทเพลงของสามัญชน” พร้อมกล่าวบทกวี “เพื่อบทเพลงของสามัญชน” ความว่า
“ความคิดไม่อาจขัง
เพียงผนังไม่อาจกั้น
เพียงรอยขีดเขียนคอยกีดกัน
ใช่ลบฝันที่เรามี
บทเพลงเพื่อเพื่อนพ้อง
จะร่ำร้องจากทุกที่
ด้วยบทเพลงแห่งเสรี
ด้วยบทกวีเพื่อผู้คน
เพื่อนยังคงใฝ่ฝัน
ตราบใดที่ฟ้าหม่น
บทเพลงสามัญชน
บนเส้นทางที่เราเดิน”
จากนั้น บรรเลงเพลง “ฝากรักถึงเจ้าพี่เสื้อ” นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ขอให้เพลงนี้ส่งไปถึงเพื่อนเราในเรือนจำ ให้ได้ออกมาต่อสู้ร่วมกัน ต่อด้วยเพลง “อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้” และ “เราคือเพื่อนกัน”
เราจะไปทางไหน ? 'ยุกติ' มอง ราษฎร 63 ส่องแสง 'ทะลุ 5 กำแพง' ฝากทลาย 4 พรมแดน - มติชน
Read More
No comments:
Post a Comment