Liberty Liberty Liberty!
เสรีภาพ เสรีภาพ เสรีภาพ!
ผู้ประท้วงนับแสนคนทั่วประเทศฝรั่งเศส กู่ก้องร้องตะโกนเรียกหา "เสรีภาพ" หนึ่งในความหมายที่ผูกติดเข้ากับสีขาวของธงชาติฝรั่งเศส หลังประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ยังคงเดินหน้า "กฎหมายหนังสือรับรองสุขภาพ" (Passe Sanitaire) โดยไม่ไยดีต่อเสียงคัดค้านจากพลเมืองฝรั่งเศสส่วนหนึ่ง ที่ตราหน้าว่า กฎหมายดังกล่าวนี้เป็นการเข้าข่าย "ใช้อำนาจเผด็จการ" (Dictatorship)
เหตุใด "หนังสือรับรองสุขภาพ" จึงถูกประณามว่าเป็น "เผด็จการ"?
1. บุคลากรทางด้านสาธารณสุข หรือผู้ที่ต้องใกล้ชิดสัมผัสกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย) เช่น อาสาสมัคร ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ดูแลคนชรา "ทุกคน" ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ครบสูตร (ไฟเซอร์ โมเดอร์นา แอสตราเซเนกา 2 เข็ม ส่วนหากเป็นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 เข็ม) ก่อนวันที่ 15 ก.ย. 64 โดยหากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับโทษตั้งแต่ "พักงาน" หรือ "ไม่ได้รับเงินเดือน"
2. การเข้าใช้บริการสถานที่ที่มีคนรวมตัวกันเกินกว่า 50 คนขึ้นไป เช่น โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ งานแสดงสินค้า ฯลฯ ต้องแสดง "หนังสือรับรองสุขภาพ" ที่ระบุว่าได้รับการฉีดวัคซีนครบสูตร หรือผลตรวจโควิด-19 เป็นลบไม่เกิน 48 ชั่วโมง (เริ่มบังคับใช้กับกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป มาตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 64 ส่วนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 14-12 ปี จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 64)
อย่างไรก็ดี หลักเกณฑ์ในข้อนี้จะมีการยกเลิกเกณฑ์สถานที่ที่มีการรวมตัวของกลุ่มคนตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป และขยายมาตรการการบังคับใช้ "หนังสือรับรองสุขภาพ" ลงลึกไปถึงสถานที่ให้บริการต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล บ้านพักคนชรา รวมถึงระบบขนส่งมวลชนต่างๆ เช่น เครื่องบิน รถเมล์ รถไฟ โดยจะเริ่มต้นในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ด้วย
*หมายเหตุ: ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 64 รัฐสภาฝรั่งเศสได้ผ่านความเห็นชอบร่างกฎหมายหนังสือรับรองสุขภาพแล้ว โดยมาตรการทั้งหมดจะถูกนำมาใช้จนถึงวันที่ 15 พ.ย. 64 อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดจะต้องได้รับการรับรองจากศาลรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสเสียก่อน จึงจะมีผลบังคับใช้จริงต่อไป
โดยกลุ่มผู้ประท้วงที่คัดค้านมาตรการดังกล่าวของ "ผู้นำฝรั่งเศส" ให้เหตุผลในการต่อต้านว่า...
"ประธานาธิบดีไม่มีสิทธิตัดสินใจแทนฉันในเรื่องสุขภาพส่วนบุคคล!"
การบังคับฉีดวัคซีน รวมถึงการสร้างข้อจำกัดในการเข้าใช้สถานบริการ หรือสถานที่สาธารณะต่างๆ ด้วยหนังสือรับรองสุขภาพ ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และการกระทำของรัฐบาลฝรั่งเศสกำลัง "ล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว"
ในขณะที่ ฟรองซัวส์-เซเวียร์ เบลลามี (François-Xavier Bellamy) จากพรรคอนุรักษนิยม เล เรพบลิแก็ง (Les Républicains) ซึ่งได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ในฝรั่งเศส มองประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า...
"การต่อต้านหนังสือรับรองสุขภาพ ไม่ได้หมายถึงการทำให้คนออกมาต่อต้านการฉีดวัคซีน แต่ปัญหาสำคัญของหนังสือรับรองสุขภาพ คือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสที่ประชาชนต้องใช้เอกสารสำหรับสิ่งที่เรียบง่ายและธรรมดาที่สุด"
ด้าน มารีน เลอแปง (Marine Le Pen) จากพรรค National Rally หรือ RN ซึ่งเป็นนักการเมืองฝ่ายขวาและคู่อริของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง วิพากษ์วิจารณ์มาตรการดังกล่าวอย่างดุเดือดว่า "เป็นการก้าวถอยหลังในเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล"
ในขณะที่ ฌอง ลุก เมลองชง (Jean-Luc-Mélenchon) จากพรรคฟรานซ์ อันบาวด์ (France Unbowed) ซึ่งเป็นปีกซ้ายจัด ก็ "จัดหนัก" ไม่ต่างกันว่า "หนังสือรับรองสุขภาพ คือ การใช้อำนาจในทางที่ผิด"
แล้วอะไร คือ เหตุสำคัญที่ทำให้ประธานาธิบดีฝรั่งเศสต้องผลักดันหนังสือรับรองสุขภาพ?
"ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง (20 ก.ค. 64) มีผู้ติดเชื้อในประเทศสูงถึง 18,000 คน นั่นหมายความว่า มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 150% จากสัปดาห์ที่ผ่านมา เราไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน"
โอลิวิเยร์ เวอแรน (Olivier Veran) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศสอภิปรายต่อรัฐสภาฝรั่งเศส เพื่อชี้ให้เห็นว่า หนังสือรับรองสุขภาพมีความสำคัญเพียงใดหากเปรียบเทียบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในฝรั่งเศส ณ เวลานี้!
แล้วสถานการณ์การติดเชื้อรายวันของฝรั่งเศสล่าสุดเป็นอย่างไร?
25 ก.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อ 15,242 คน เสียชีวิต 6 ศพ
24 ก.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อ 25,624 คน เสียชีวิต 25 ศพ
23 ก.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อ 19,561 คน เสียชีวิต 26 ศพ
22 ก.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อ 21,909 คน เสียชีวิต 11 ศพ
21 ก.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อ 21,539 คน เสียชีวิต 29 ศพ
20 ก.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อ 18,181 คน เสียชีวิต 33 ศพ
19 ก.ค. 64 มีผู้ติดเชื้อ 4,151 คน เสียชีวิต 20 ศพ
ปัจจุบัน รัฐบาลฝรั่งเศสยอมรับว่า กำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกที่ 4 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาแล้ว
การแพร่ระบาดระลอกที่ 4 ในฝรั่งเศส "อันตราย" ในระดับใดแล้ว?
การแพร่ระบาดระลอกล่าสุดนี้ เข้าใกล้สัดส่วนผู้ติดเชื้อ 50 คนต่อสัดส่วนจำนวนประชากร 100,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงปารีสและอีกหลายพื้นที่ในภาคใต้และภาคตะวันตก ซึ่งเป็นสถานที่พักตากอากาศชื่อดังของประเทศแล้ว และอัตราส่วนผู้ติดเชื้อนี้ เริ่มเข้าใกล้ "ความสุ่มเสี่ยง" ที่จะทำให้ "ระบบสาธารณสุขมีปัญหา" รวมถึงอาจต้องหันมาใช้ "มาตรการล็อกดาวน์" อีกครั้ง
แล้ว...อัตราการฉีดวัคซีนฝรั่งเศสคืบหน้าไปมากน้อยเพียงใด?
สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ค. 64 ฝรั่งเศสฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม ให้กับพลเมืองไปแล้วคิดเป็นสัดส่วน 57.79% ของจำนวนประชากร 67 ล้านคน ส่วนพลเมืองที่ได้รับวัคซีนครบสูตรคิดเป็น 44.07% ของจำนวนประชากร 67 ล้านคน โดยใช้ปริมาณวัคซีนไปรวมแล้วประมาณ 68 ล้านโดส
"ภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้ พลเมืองฝรั่งเศส 40 ล้านคน จะต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม ซึ่งตัวเลขที่ว่านี้เร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 1 เดือน นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับข้อสงสัยหรือความลังเลใจอีกต่อไปแล้ว"
นายกรัฐมนตรี ฌอน คาสเท็กซ์ (Jean Castex) กล่าวต่อรัฐสภาฝรั่งเศส เพื่อยืนยันว่า การแก้ไขปัญหากำลังเดินหน้าตามแผนการที่วางเอาไว้
*หมายเหตุ: สิ้นสุดวันที่ 26 ก.ค. 64 ฝรั่งเศสอนุมัติให้ใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉิน 4 ชนิด ประกอบด้วย วัคซีนไฟเซอร์ วัคซีนโมเดอร์นา วัคซีนแอสตราเซเนกา และวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
ความเด็ดขาดต่อการแก้ไขปัญหาในฐานะ "ผู้นำ" กับข้อครหา "เผด็จการ"
ท่ามกลางเสียงต่อต้านอย่างกว้างขวางประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง บริหารจัดการปัญหานี้อย่างไร?
"รัฐบาลมีความจำเป็นต้องปกป้องประชาชนและระบบสาธารณสุขที่เปราะบางหากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการต้องหันกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง" นี่คือ คำยืนยันจากปากของผู้นำฝรั่งเศสต่อการผลักดันความแน่วแน่ในการแก้ไขวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น
ส่วนเสียงเพรียกหา "เสรีภาพส่วนบุคคล" จากกลุ่มผู้เห็นต่างหนังสือรับรองสุขภาพนั้น ประธานาธิบดีฝรั่งเศสให้ข้อคิดกลับไปอย่างน่าสนใจว่า...
"เสรีภาพของคุณจะมีค่ามากน้อยเพียงใด หากคุณพูดกับผมว่า ฉันไม่ต้องการฉีดวัคซีน แต่คุณอาจทำให้พ่อ แม่ หรือตัวคุณเองติดเชื้อในวันพรุ่งนี้"
ขณะที่การตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วงนับแสนคนซึ่งนำไปสู่การปะทะกันถึงขั้นยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุมนั้น ผู้นำฝรั่งเศสตอบโต้สั้นๆ แต่ได้ใจความว่า...
"ผู้ประท้วงมีเสรีภาพในการแสดงออกด้วยความสงบและให้เกียรติ แต่แน่นอนว่า การประท้วงจะไม่ทำให้โควิด-19 หายไปได้อย่างแน่นอน อีกทั้งกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวเพื่อประท้วงในครั้งนี้ เป็นพวกนักการเมืองฝ่ายขวาจัดและหัวรุนแรง ที่ไม่พอใจรัฐบาล"
ชาวฝรั่งเศสมีความคิดเห็นอย่างไรกับหนังสือรับรองสุขภาพ?
ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศเดินหน้าใช้หนังสือรับรองสุขภาพอย่างจริงจัง ฝรั่งเศสกำลังประสบปัญหาเรื่องอัตราผู้ขอเข้ารับการฉีดวัคซีนที่ลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย
โดยอัตราผู้ขอเข้ารับการฉีดวัคซีนที่เคยมีค่าเฉลี่ยมากกว่า 400,000 คนต่อวันในช่วงเดือน พ.ค. แต่พอเข้าต้นเดือน ก.ค. กลับลดลงมาเหลือเพียงเฉลี่ยวันละ 165,000 คนเท่านั้น
แต่ทันทีที่ผู้นำฝรั่งเศสประกาศจุดยืนแข็งขันในการนำกฎหมายหนังสือรับรองสุขภาพมาบังคับใช้ตัวเลขผู้ขอเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรกผ่านเว็ปไซต์ Doctolib ในวันที่ 12 ก.ค. 64 เพียงวันเดียวพุ่งทะลุ 926,000 คนทันที และในวันถัดมา (13 ก.ค. 64) ตัวเลขดังกล่าวยังสูงถึง 350,000 คนอีกด้วย
หรือพูดง่ายๆ เพียงไม่ถึง 14 ชั่วโมง หลังการประกาศอันแน่วแน่ของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง มีชาวฝรั่งเศสยอมไปฉีดวัคซีนมากถึง 1.3 ล้านคน!
นอกจากนี้ จากผลสำรวจความเห็นล่าสุดที่จัดทำโดยอิปซอส (Ipsos) บริษัทสำรวจและวิจัยการตลาดชื่อดังของฝรั่งเศสยังพบด้วยว่า ชาวฝรั่งเศสมากกว่า 60% ชื่นชอบมาตรการหนังสือรับรองสุขภาพอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์การเมืองจึงต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวในช่วงเวลานี้ของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง เป็นการเดินหมากทางการเมืองที่แยบยลและเหมาะสมสำหรับการสร้างฐานความนิยม สำหรับปูทางไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นในเดือนเมษายนปีหน้าเป็นอย่างยิ่ง
นั่นเป็นเพราะ...มาตรการหนังสือรับรองสุขภาพนี้ นอกจากจะทำให้ชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่มองว่า เป็นส่วนหนึ่งในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับมาตรการด้านสาธารณสุขแล้ว มันยังเปรียบได้กับแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้าที่ฉายภาพภาวะผู้นำที่สามารถพาชาวฝรั่งเศสออกจากฝันร้ายที่เรียกว่า โควิด-19 ไปได้พร้อมๆ กัน
ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ จนนำไปสู่ความขัดแย้ง การเห็นต่างความแตกแยก สำหรับ "ผู้ที่เป็นผู้นำ" การตัดสินใจเลือกเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้คนส่วนใหญ่ แม้จะต้องผ่านความยากลำบากก่อนการตัดสินใจ แต่คงไม่อาจ "ปฏิเสธ" หรือ "วางเฉย" ต่อการตัดสินใจนั้นๆ ได้
นอกจากนี้...ในเมื่อมีทั้งโอกาสและอำนาจที่ประชาชนหยิบยื่นให้แล้ว หากยังหวังที่จะมีอนาคตทางการเมืองต่อไปในสภาพที่ประเทศเต็มไปด้วยการแพร่ระบาดจากโควิด-19
"ผู้นำ" ต้องทำให้ประชาชนเห็นภาพที่ชัดเจนให้ได้ว่า การตัดสินใจแต่ละครั้งมีการวางนโยบายที่ชัดเจนมีเหตุมีผลและสามารถอ้างอิงข้อมูลหลักฐานที่สามารถจับต้องได้ว่าจะสามารถยุติการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ รวมทั้งยังต้องสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาขับเคลื่อนใหม่ได้ทั้งระบบ
ซึ่งแน่นอนว่า หาก "ผู้นำ" คนใด สามารถทำได้เหมือนบรรทัดด้านบนได้ "ผู้นำ" คนนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็น "ผู้นำที่แท้จริง!"
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิกปก: Varanya Phae-araya
กราฟิก: Jutaphun Sooksamphun
ข่าวน่าสนใจ:
"เผด็จการ" หรือ "เสรีภาพ" ทางเลือก "ผู้นำ" เมื่อฝรั่งเศสเผชิญไวรัสเดลตา - ไทยรัฐ
Read More
No comments:
Post a Comment