การทุจริตคอร์รัปชัน นอกจากจะเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศแล้ว ยังเป็นเงื่อนไขสำคัญในการยึดอำนาจการปกครอง ทุกครั้งการทุจริตคอร์รัปชัน ของพรรคการเมือง นักการเมืองและข้าราชการประจำ ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ การฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ อ้างว่า เป็นฉบับปราบการคอร์รัปชัน ตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตั้งศาลขึ้นมามากมายหลายประเภท ก็ยังไม่สามารถเอาชนะการคอร์รัปชันได้อยู่ดี
ไล่รัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่า มีการคอร์รัปชันไปแล้ว ก็ได้รัฐบาลที่คอร์รัปชันมากกว่าเข้ามาแทนที่ มีทั้งการคอร์รัปชันแบบซึ่งหน้าและคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ที่ผ่านมาภาคเอกชน ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ถูกปิดปาก เพราะเกรงว่าธุรกิจจะเสียหายมากไปกว่านี้ แต่ในปัจจุบันเมื่อถึงทางตัน ภาคเอกชนก็ลุกขึ้นมาแถลงการณ์คอร์รัปชันเสียเอง เพราะรอขั้นตอนต่างๆ ขององค์กรอิสระตรวจสอบการคอร์รัปชันไม่ไหว ยิ่งมากหมอก็มากความ เป็นช่องทางเอาตัวรอดของ นักคอร์รัปชันมืออาชีพ ถนนหนทางบางแห่งสร้างกันมาเป็นสิบๆปีไม่เสร็จ ก็ยังไม่รู้จะไปจับมือใครดมได้ แค่คอร์รัปชันจุดเล็กๆจุดเดียว ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
ติดหล่มจมปลักวงจรอุบาทว์
มีนักธุรกิจบางราย อาทิรองประธานสหสมาคมตระกูลแซ่ อดีตที่ปรึกษาประธานสภา ประทีป วัชรโชคเกษม ที่ให้ความเห็นเรื่องของตำแหน่งประธานสภา ระหว่าง ก้าวไกล กับ เพื่อไทย เอาไว้น่าคิด ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ เสนอชื่อไปโหวตในสภา ก็จะแพ้ทั้ง 2 พรรค เพราะการเมืองแบ่งเป็น 3 ขั้ว ถ้าก้าวไกลกับเพื่อไทยแย่งกัน ขั้วที่ 3 ชนะแน่นอน ถ้า 2 พรรคแตกแยก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ไม่ได้เป็นนายกฯ บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงทหารออกมาก็แพ้ ประเทศไทยเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงแล้ว ประชาชนตกทุกข์ได้ยากต้องการให้คนหนุ่มสาวมาเปลี่ยนแปลงพัฒนา คนไทยไม่โง่
การจะใช้ช่องทางปาฏิหาริย์รัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงการดำเนินการให้เป็นไปตามกติกาของระบอบประชาธิปไตย เป็นความเสี่ยงของระบบที่จะถูกแทรกแซง และนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชัน ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปีตามสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจ เท่ากับเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อระบบการเมืองการปกครองของประเทศ
และที่สำคัญยังปิดโอกาสทางการเมือง ที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่ความเจริญ มีนักการเมืองหลายคนที่มีต้นทุน ค่อยๆ หันหลังให้กับการเมืองไทย มีครอบครัวคนไทยที่มีสถานะ เริ่มจะมองถึงอนาคตของลูกหลานที่จะเติบโตขึ้น ควรจะเรียนรู้และอยู่ในสังคมแบบไหนที่ไม่ใช่แบบไทยๆ
การประกาศหันหลังให้กับการเมืองที่ต่อสู้มาตลอด 18 ปีในชีวิตการเป็นนักการเมืองของ กรณ์ จาติกวณิช จากพรรคประชาธิปัตย์ แยกไปตั้งพรรคการเมืองเอง พรรคกล้า ไปรวมกับ พรรคชาติพัฒนาเป็นชาติพัฒนากล้า ดิ้นรนทุกหนทางก็ยังไม่ประสบความสำเร็จบนถนนการเมือง ด้วยเหตุผลอื่นใดก็แล้วแต่ ถ้าด้านไม่พอ รอไม่ได้ก็ไม่มีที่ให้ยืน.
ผ่าทางตันไปเจอทางตัน - ไทยรัฐ
Read More
No comments:
Post a Comment