เมืองไทย 360 องศา
หากใครที่ติดตามสถานการณ์การชุมนุมของพวก"ม็อบสามนิ้ว"ที่เป็นเครือข่าย"ขบวนการล้มเจ้า" ก็ต้องบอกว่ามาถึงจุดสำคัญกันอีกรอบ อย่างน้อยก็ในช่วงที่บรรดาแกนนำรุ่นแรกๆ กำลังถูกดำเนินคดีในชั้นศาล และเสี่ยงต่อการ“ติดคุกยาว”ระหว่างการพิจารณาคดีจนเสร็จสิ้น โดยเฉพาะอีกล็อตล่าสุด จำนวน 18 คน ที่กำลังถูกอัยการสั่งฟ้องศาลอาญาในคดีสำคัญในวันที่ 8 มี.ค.นี้
ในชุด18 คนนี้ มีชื่อของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง”นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์”และ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ“ไผ่ดาวดิน”รวมอยู่ด้วย โดยผู้ต้องหากลุ่มนี้ที่กำลังจะกลายเป็น“จำเลย”ถูกดำเนินคดีในความผิดตาม มาตรา112 มาตรา116 และอีกหลายข้อหา โดยสองข้อหาแรก ถือว่ามีความผิดร้ายแรง และมีโอกาสสูงมากที่ศาลจะไม่ให้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี เหมือนกับ 4 แกนนำม็อบสามนิ้วก่อนหน้านี้ เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ"เพนกวิน" นายอานนน์ นำภา และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่"ติดคุกยาว" หลังจากศาลอาญาไม่ให้ประกันตัว เนื่องจากเห็นว่ามีการทำความผิดซ้ำ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สร้างความวุ่นวาย และเกรงจะหลบหนี
หากพิจารณาจากข้อหาตามความผิดหลักของการเคลื่อนไหวของการชุมนุม ม็อบสามนิ้ว เป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่า มีเป้าหมาย มีเจตนา“โค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์”มีการจาบจ้วงอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับการย่ำยีความรู้สึกของประชาชนที่ “รักสถาบันฯ”อย่างมาก
ล่าสุดยังมีการ“เผาพระบรมฉายาลักษณ์”ที่หน้าเรือนจำคลองเปรม เมื่อเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ.64 โดยเป็นการลงมือของนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ "แอมมี่" กับพวกอีกสองสามคน โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว จนต้องนำตัวเข้าเรือนจำตามไปอีกคน และเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดีที่กระทำความผิดในลักษณะซ้ำซาก ก็มีโอกาสที่จะ“ยาว”ไม่ต่างกัน
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งหากพิจารณาโดยภาพรวมๆ ของการเคลื่อนไหวชุมนุมของคนพวกนี้ ซึ่งแน่นอนว่าทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่ามีการ“ชักใย ยุยง”อยู่ข้างหลังจากบรรดานักวิชาการ“ชราภาพ”บางคน ที่เคยฝังใจเจ็บกับสถาบันฯ มาตั้งแต่ในอดีต จนบางคนถึงกับต้องออกมาในลักษณะที่เรียกว่า “ถ่อสังขาร”ออกมาช่วยสร้างกระแสกันในนาทีสุดท้าย ในแบบ “ลุ้นกันตัวโก่ง”หรือ “ทุ่มกันหมดหน้าตัก”เลยทีเดียว
การเคลื่อนไหวในช่วงเวลาสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีความพยายามกันทุกทาง ทั้งแบบ“รุนแรง”การยั่วยุ ทั้งการปั่นกระแสในโลกโซเชียล แต่ประเด็นก็คือ“มันไม่เวิร์ก”เพราะกระแสมันไม่เป็นใจ กลายเป็นภาพลบที่สังคมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย กับภาพการเคลื่อนไหว “ทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์” และอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้มีจำนวนมวลชนเข้าร่วมชุมนุม“จำนวนน้อย”อีกทั้งเป็นการเคลื่อนไหวที่“ไม่มีเงื่อนไข”ให้คนต้องออกมาจำนวนมาก เหมือนกับการชุมนุมทางการเมืองในอดีต
ภาพของม็อบจำนวนน้อยที่พยายามสร้างเหตุการณ์ “ปะทะ”กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งการเคลื่อนขบวนไปชุมนุมหน้าที่กรมทหารราบที่ 1 ถนนวิภาวดี ซึ่งบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยู่ด้านในด้วย ก็เป็นการมองออกว่ามีเจตนาสื่อ“สัญลักษณ์”เพื่อกระทบไปถึงสถาบันฯ มีการก่อเหตุรุนแรงตามภาพที่ปรากฏในโซเชียลฯ จนกลายเป็นภาพลบ ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ต่อเนื่องวันเดียวกับที่ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ“แอมมี่”ก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ที่หน้าเรือนจำคลองเปรมในตอนเช้ามืดวันเดียวกันนั่นแหละ
หรือแม้แต่ความพยายามชุมนุมแบบ“ดาวกระจาย”เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา แม้จะมีการสร้างกระแสในโลกโซเชียลฯ ปลุกระดมกันเต็มที่แค่ไหน แต่ภาพที่เห็นมันก็ยังไม่ได้ผล กลายเป็นความรุนแรงที่ปรากฏออกจอ จากการเคลื่อนไหว“บุกชิงตัวผู้ต้องหา”ที่เป็นการ์ดจำนวนหนึ่ง ระหว่างนำตัวไปสอบสวน แม้ว่าจะทำการได้สำเร็จ สามารถปล่อยตัวผู้ต้องออกไปได้
ภาพที่ออกมาให้เห็น อาจ“สร้างความเท่”ให้กับพวกเดียวกัน แต่เชื่อหรือไม่ หากมองในมุมกลับกันนั่นคือ การ“ตกหลุม”หรือติดกับฝ่ายเจ้าหน้าที่หรือไม่ เพราะหากเจ้าหน้าที่จะจับกุมนำตัวไปควบคุมจริง คงต้องมีมาตรการป้องกันที่รัดกุมกว่านี้ หรือไม่ก็หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าไม่ใช่ผู้ต้องหาคนสำคัญ แต่คนที่เป็นแกนนำ เช่น นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ“โตโต้”แกนนำการ์ดวีโว่ ซึ่งถูกจับกุมพร้อมพวกที่ห้างดังย่านรัชโยธิน ก็ถูกนำตัวไปควบคุมที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 และกำลังถูกตั้งข้อหาหนัก ไม่น้อยกว่า 4 ข้อหา
ขณะที่บรรดาผู้ที่ก่อเหตุชิงตัวผู้ต้องหา แม้ว่าจะทำการได้สำเร็จ (เพราะตำรวจไม่ขัดขวาง) ก็ปรากฏว่า มีทนายความนำตัวมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากรู้ดีว่า จะถูกตามจับกุมในภายหลัง เพื่อป้องกันโทษหนัก หรือหวั่นเกรงไม่ได้รับการประกันตัว
หรือแม้แต่การ“เดินทะลุฟ้า”ที่นำโดย นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ดาวดิน”ที่เดินเข้ากรุงเทพฯ ก็เป็นความพยายามในแบบเดียวกัน ก่อนที่จะถึงวันสำคัญ ที่ตัวเองเป็นหนึ่งใน 18 จำเลย ที่ถูกอัยการสั่งฟ้องในข้อหาความผิดตาม มาตรา 112 และ มาตรา 116 ในวันที่ 8 มี.ค.นี้ด้วย
ดังนั้น หากพิจารณากันในภาพรวมๆ มันก็เป็นการเคลื่อนไหวเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเดียวกัน แต่แม้ว่าจะพยายามเคลื่อนไหวหนักหน่วงเพียงใด พยายามสร้างความปั่นป่วนอย่างไรก็ตาม แต่หากสังเกตจะเห็นว่า ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเหมือนกับว่า“ตั้งหลักได้”ไม่หลงเกมของพวกชักใยม็อบมากนัก อีกทั้งทำให้เห็นภาพที่ออกมาว่า ฝ่ายม็อบสร้างความปั่นป่วน และที่สำคัญ เมื่อภาพลักษณ์ออกมาเป็นลบมากกว่าบวก มวลชนก็มีจำกัดเพียงแค่หลักร้อย อย่างที่เห็น เพราะการเคลื่อนไหว“ไม่มีเงื่อนไข”ทางหนึ่ง เมื่อยิ่งปั่นป่วนมันก็เป็นอัตราเร่งให้“เข้าคุก”เร็วขึ้น
ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ายิ่งเคลื่อนไหว กลับยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมมาก และกลายเป็นว่า คู่กรณีของพวกม็อบล้มเจ้า ถูกโฟกัสไปที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นด้านหลักแล้ว ขณะที่“ลุงตู่”ลอยตัว ยาวไป !!
"ม็อบสามนิ้ว"ป่วน เข้าทาง"ลุงตู่"ยาวไป !? - ผู้จัดการออนไลน์
Read More
No comments:
Post a Comment