คลิปวิดีโอหนึ่งที่น่าสะเทือนใจ แสดงให้เห็นผู้หญิงโป๊เปลือยสองคน ถูกกลุ่มคนยกแห่และกระทำอนาจารในรัฐมณีปุระของอินเดีย นี่เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่า ผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อและได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติภายในอินเดีย
*คำเตือน: เนื้อหาต่อไปนี้มีรายละเอียดที่อาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่สบายใจ
การกระทำชำเราในคลิปดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 3 เดือนที่แล้ว แต่พึ่งได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (20 ก.ค.) หลังคลิปวิดีโอกลายเป็นไวรัลในทวิตเตอร์
ข้อร้องเรียนต่อตำรวจระบุว่า หนึ่งในผู้หญิงในคลิปถูกรุมโทรม อีกทั้งมีผู้หญิงคนที่สามที่ถูกจับเปลื้องผ้า แต่ไม่ปรากฏภาพเธอในคลิปดังกล่าว
วิดีโอแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงทั้งสองมีภาวะเลื่อนลอย ถูกกลุ่มชายที่เป็นผู้รุมข่มขืนพวกเธอ พาเดินและผลักไปมา รวมถึงลูบคลำตามตัว แม้ใบหน้าของชายเหล่านี้จะเห็นได้ชัดเจน แต่ตำรวจจับกุมผู้กระทำผิดรุมข่มขืนพวกเธอได้เพียง 1 คนในเวลานี้
มณีปุระ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เป็นรัฐที่เผชิญกับความรุนแรงจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ “เมเต” ซึ่งเป็นชุมชนชาวฮินดู ประชากรกลุ่มใหญ่สุดของรัฐ และชนเผ่า “กูกิ” ชนกลุ่มน้อยในรัฐ นับแต่เดือน พ.ค. มีรายงานถึงเหตุยิงกัน ปล้มสะดม และล่วงละเมิดทางเพศอย่างกว้างขวาง
รายงานจาก เดอะ พรินต์ สำนักข่าวออนไลน์ในอินเดีย ระบุว่า การล่วงละเมิดทางเพศร้ายแรงที่ปรากฏในวิดีโอ เกิดขึ้นภายหลังมีข่าวปลอมเผยแพร่ในโลกออนไลน์ว่า ผู้หญิงจากกลุ่มชาติพันธุ์เมเตถูกข่มขืนและฆาตกรรม จน “ทำให้กลุ่มชาวเมเตลุกขึ้นตอบโต้ด้วยการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงชนเผ่ากูกิ”
การข่มขืนถูกใช้เป็นอาวุธในห้วงเวลาความขัดแย้งมายาวนานแล้วในอินเดียและในอีกหลายประเทศ
ในแทบทุกเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเอเชียใต้ มีรายงานการใช้ความรุนแรงทางเพศและการรุมข่มขืนเกิดขึ้นด้วยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในช่วงการแบ่งแยกประเทศอินเดีย (อินเดีย-ปากีสถาน) ในปี 1947, สงครามประกาศอิสรภาพของบังกลาเทศปี 1971, เหตุจลาจลชาวซิกข์ปี 1984, สงครามกลางเมืองในศรีลังกา และในเหตุจลาจลรัฐคุชราตปี 2020 แต่รายละเอียดของความเหี้ยมโหดที่เกิดขึ้นนั้น บางครั้งไม่ถูกเปิดเผยจนกระทั่งอีกหลายสิบปีต่อมา
ผู้รอดชีวิตเล่าว่า อาชญากรรมเหล่านี้มักเชื่อมโยงกับการล้างแค้น “อีกฝ่ายหนึ่ง” ด้วยการกระทำชำเราร่างกายผู้หญิง ที่ชุมชนนั้น ๆ มองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ
แม้กระทั่งกลไกการยุติความขัดแย้งของรัฐเอง อาทิ กองทัพและกองกำลังความมั่นคงอื่น ๆ ก็เผชิญข้อกล่าวหาว่า กระทำการล่วงละเมิดทางเพศผู้คนในหลายพื้นที่ อาทิ เขตปกครองตนเองแคชเมียร์ในฝั่งอินเดีย และรัฐต่าง ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
“ราคาที่ผู้หญิงต้องจ่ายให้กับความรุนแรงที่ถูกประทับตราบนร่างกายของพวกเขา มักถูกกลบซ่อนและปกปิด การขับเคลื่อนของผู้หญิงในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้สังคมให้ความสนใจกับเรื่องนี้ แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง” อนุราชา เชนอย์ อดีตศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยชวาหะร์ลาล เนห์รู ในกรุงนิวเดลี กล่าว
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย คือการที่ฝ่ายรัฐไม่แยแส
การรุมข่มขืนผู้หญิงกลุ่มนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งตามเอกสารแจ้งความของหนึ่งในเหยื่อ อธิบายว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 3 คนของชนเก่ากูกิ หนีความรุนแรงที่ปะทุขึ้นในเขตกังปกปิ เข้าไปในป่า
เอกสารแจ้งความระบุว่า ทีมตำรวจได้ให้ความช่วยเหลือพวกเขา แต่ถูกกลุ่มคนดักซุ่มโจมตี และ “คว้าตัว” ชาวบ้านเหล่านี้ไป
หนึ่งในผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปี “ถูกรุมข่มขืนอย่างโหดเหี้ยมกลางวันแสก ๆ” ส่วนผู้หญิงอีกสองคนนั้น หลบหนีไปได้ ตามคำบอกเล่าของหนึ่งในผู้เข้าแจ้งความ
กิกรัม สิงห์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจรัฐอุตตรประเทศ ยอมรับว่าเหตุการณ์ “อันน่าอับอาย” นี้ ก่อให้เกิดคำถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจและรัฐบาลท้องถิ่น
“ไม่มีรัฐบาลท้องถิ่นไหนในประเทศอย่างอินเดีย ที่ไร้อำนาจเสียจนช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกกระทำเช่นนี้ได้” เขากล่าว พร้อมระบุว่าไม่เพียงผู้กระทำผิด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ควรถูกลงโทษด้วย
กระนั้น การจับกุมผู้กระทำผิดคนแรกก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (20 ก.ค.) นี่เอง ซึ่งเป็นเวลาหลายชั่วโมงหลังจากวิดีโอดังกล่าวถูกแชร์ไปอย่างกว้างขวางบนทวิตเตอร์ และศาลสูงสุดกล่าวว่า “น่าตระหนกมาก”
นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ที่มักกล่าวถึงการเสริมพลังให้ผู้หญิงและการให้การศึกษาเด็กหญิงให้มากขึ้น ยังไม่แสดงความเห็นต่อวิกฤตที่เกิดขึ้นในมณีปุระนี้ แม้ประชาชนและนักการเมืองฝ่ายค้านจะออกมาเรียกร้องหลายครั้งให้เขาดำเนินการอะไรบ้างก็ตาม จนกระทั่งเขาออกมาแสดงความเห็นในวันที่ 21 ก.ค. ว่า หัวใจของเขา “เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธ” และประกาศว่า ผู้กระทำผิดต้องถูกลงโทษ
แต่ก็ยังมีคำถามว่า ทำไมกระบวนการจับกุมผู้กระทำผิดจึงใช้เวลานานเช่นนี้ โดยเฉพาะในเมื่อสามารถมองเห็นใบหน้าของผู้กระทำผิดได้ชัดเจนจากในคลิป
“ความรับผิดชอบของรัฐคือการทำให้ประชาชนมั่นใจว่าสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ แต่ในกรณีส่วนใหญ่ ภาครัฐและรัฐบาลท้องถิ่นกลับหายตัวไปในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม” วรินดา โกรเวอร์ นักเคลื่อนไหวที่เป็นตัวแทนเหยื่อความรุนแรงทางเพศมาแล้วหลายคน กล่าว
เธอยังเสริมด้วยว่า หากต้องอาศัยการแทรกแซงของศาลสูงสุด จึงจะทำให้เกิดการจับกุมผู้กระทำผิดได้เพียง 1 คน “อย่างปาฏิหาริย์” มันก็แทบไม่เหลือความหวังใด ๆ อีกแล้วสำหรับเหยื่อ
สำหรับ บุชบู ซุนดาร์ สมาชิกพรรคภารติยะ ชนะตะ หรือบีเจพี ของนายโมดี และเป็นผู้ปกครองรัฐมณีปุระ กล่าวว่า วิดีโอดังกล่าว “เลวร้าย” และ “ยอมรับไม่ได้”
“นี่เป็นความล้มเหลวของกฎหมายและระเบียบบ้านเมือง” เธอกล่าว พร้อมเสริมว่า “นี่ไม่ใช่เวลาของการโทษกันไปมา” แต่ทุกพรรคการเมืองจำเป็นต้องวางความเห็นต่าง “ยืนหยัดต่อต้านความรุนแรงในมณีปุระ”
ในอินเดียนั้น ความรุนแรงทางเพศมักจะไม่มีการรายงานหรือแจ้งความกับตำรวจ เพราะเหยื่อที่บอบช้ำทางจิตใจกลัวว่าจะถูกครอบครัวของตัวเองทอดทิ้ง หรือถูกสังคมเหยียดหยาม
วาริชา ฟารารัต นักกฎหมายที่ทำวิจัยเกี่ยวกับเหตุจลาจลเมืองภคัลปุระ ในปี 1989 ที่มีผู้ถูกสังหารกว่า 1,000 คน ระบุว่า เหยื่อความรุนแรงทางเพศในพื้นที่ความขัดแย้ง เผชิญกับความบอบช้ำที่ซ้อนทับกันหลายชั้น ตั้งแต่การสูญเสียวิถีชีวิต ไปจนถึงความตายของสมาชิกในครอบครัว จนทำให้ประสบการณ์เลวร้ายที่ตนเองประสบ ดูเบาบางลงไป
ฟารารัต ชี้อีกว่า บางครั้งการไม่กล้าไปแจ้งความหรือร้องเรียน อาจไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องความอับอาย “ปัญหาคือ เมื่อผู้หญิงออกมาพูด พวกเขาไม่ได้รับความยุติธรรม นั่นเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง”
มณีปุระ: เมื่อ "ความรุนแรงทางเพศ" ถูกใช้เป็นอาวุธ หญิงอินเดียถูกรุมข่มขืน เพียงเพราะเป็นคนต่างชาติพันธุ์ - บีบีซีไทย
Read More
No comments:
Post a Comment