[unable to retrieve full-text content]
คนฝรั่งเศส ราชวงศ์ฝรั่งเศส บนทางเลือกทางการเมือง ศิลปวัฒนธรรมคนฝรั่งเศส ราชวงศ์ฝรั่งเศส บนทางเลือกทางการเมือง - ศิลปวัฒนธรรม
Read More
[unable to retrieve full-text content]
คนฝรั่งเศส ราชวงศ์ฝรั่งเศส บนทางเลือกทางการเมือง ศิลปวัฒนธรรมหัวเว่ยร่วมลงนามในพันธสัญญาระดับโลกเพื่อเข้าร่วมพันธมิตรกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ในความร่วมมือด้านดิจิทัล Partner2Connect ซึ่งจะนำการเชื่อมต่อไปสู่ผู้คนประมาณ 120 ล้านคนในพื้นที่ห่างไกลในกว่า 80 ประเทศภายในปี พ.ศ. 2568
ดร.เหลียง หัว ประธานคณะกรรมการ บริษัทหัวเว่ย ประกาศการตัดสินใจของบริษัทในการประชุมด้านความยั่งยืน ประจำปี พ.ศ. 2565 ในหัวข้อ “การเชื่อมต่อขั้นสูง สร้างนวัตกรรมที่เกิดแรงขับเคลื่อน (Connectivity+: Innovate for Impact)” โดยการประชุมเสวนาดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนและสํารวจถึงความสามารถของนวัตกรรมไอซีทีในการเพิ่มคุณค่าด้านการเชื่อมต่อทางธุรกิจและสังคม ตลอดจนการขับเคลื่อนความยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
ดร. เหลียง ขึ้นกล่าวในงาน
จากการทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ให้บริการจากทั่วโลก หัวเว่ยได้สร้างเครือข่ายมากกว่า 1,500 เครือข่ายที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนกว่าสามพันล้านคนในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค ในส่วนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปัจจุบัน หัวเว่ย ได้ให้บริการการเชื่อมต่อแก่ผู้คนเกือบ 1.1 พันล้านคนและที่อยู่อาศัยกว่า 293 ล้านหลังใน 20 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีนและอินเดีย)
หัวเว่ยรักษามาตรฐานการทำงานที่มั่นคงในด้านการรักษาความปลอดภัยได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งในปี พ.ศ. 2564 หัวเว่ยมีสถานีฐานมากกว่า 300,000 แห่งในภูมิภาค ส่งผลให้ปัจจุบันมีเครือข่าย 4G ครอบคลุมถึง 97% ของประชากรทั้งหมด และอัตราความเร็วในการดาวน์โหลดอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่เกิน 110 Mbit/s ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นกว่า 17% จากปีที่แล้ว
การสร้างเครือข่ายบรอดแบนด์แบบใยแก้วนำแสงเป็นวิธีการที่สำคัญอีกวิธีหนึ่งเพื่อทำให้บริการเป็นสากล ทั้งนี้ หัวเว่ย ได้นำเสนอโซลูชัน AirPON ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรต่ำและพื้นที่ห่างไกล โซลูชันดังกล่าวจะช่วยลดการใช้ห้องอุปกรณ์ ลดต้นทุนการติดตั้งใยแก้วนำแสง และการใช้พลังงานของเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็รับประกันความรวดเร็วในการติดตั้งเครือข่ายการสื่อสารในพื้นที่
สำหรับในประเทศไทย หัวเว่ยให้การสนับสนุนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดําเนินโครงการ USO NET ใช้โซลูชัน AirPON เชื่อมต่อพื้นที่ในชนบทที่ยังขาดการเชื่อมต่อเพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมไทย อาทิ บนพื้นที่ภูเขาในจังหวัดเชียงใหม่ของประเทศไทยที่มีถนนบนภูเขาความยาว 60 กิโลเมตร และเส้นทางดังกล่าวเป็นถนนบนภูเขาที่พื้นผิวขรุขระ เนื่องจากภูมิประเทศที่สูงชันและขาดการระบายน้ำ ตัวหมู่บ้านยังกระจัดกระจายเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ หลายแห่ง
ด้วยเหตุนี้โซลูชันไฟเบอร์มีสายแบบดั้งเดิมจึงมีราคาแพงเกินไป และใช้พลังงานมาก รวมถึงต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อรองรับสิ่งอุปกรณ์ทั้งหมด เช่นห้องอุปกรณ์ขนาดใหญ่และใช้สายเคเบิลไฟเบอร์หลายกิโลเมตร ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกต่อผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ดังนั้น โซลูชัน AirPON ของหัวเว่ยจึงเข้ามาตอบโจทย์ให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก เนื่องจากนําเสาและสายเคเบิลที่มีอยู่มาใช้ใหม่ โดยมีห้องอุปกรณ์ติดตั้งอยู่บนเสา ส่งผลให้การจัดเตรียมบริการมีความรวดเร็วมากขึ้น และบริการสื่อสารสามารถพร้อมใช้งานได้ในราคาไม่แพงและคุ้มค่าสําหรับผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 โครงการ USO NET ได้ส่งมอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้แก่หมู่บ้านกว่า 19,562 แห่ง ซึ่งคิดเป็นหมู่บ้านในเขตชายแดนกว่า 3,920 แห่ง ทำให้ครัวเรือนกว่า 607,966 แห่งสามารถเข้าถึงบริการบรอดแบนด์ความเร็วสูงได้แล้ว นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวแล้ว หัวเว่ยยังให้การฝึกอบรมด้านทักษะดิจิทัลให้กับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านทักษะดิจิทัลระหว่างเขตเมืองและพื้นที่ห่างไกลอีก
นายมัลคอล์ม จอห์นสัน รองเลขาธิการสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำทั่วโลกว่า “การลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นระหว่างชุมชนเมืองและชุมชนชนบทกลายเป็นวาระที่ทุกฝ่ายทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ นำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่เกิดการพัฒนาด้วยความสมดุล จากสถิติของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) พบว่า เมื่อปี พ.ศ. 2565 สิ้นสุดลง กว่าร้อยละ 95 ของประชากรโลกจะสามารถเข้าถึงบริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่จะมีเพียง 1 ใน 3 คนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้
ขณะที่ประชากรในประเทศที่มีรายได้ต่ำ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เพียงร้อยละ 22 เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรในประเทศที่ประชากรมีรายได้สูง ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ถึงร้อยละ 91 ด้วยเหตุนี้การเชื่อมต่อแบบดิจิทัล (Digital Connectivity) จึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อยกระดับคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสังคมและระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตามบริการการเชื่อมต่อที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงต้องสามารถเข้าถึงบริการด้วยราคาที่จับต้องได้ รวมถึงได้รับประโยชน์จากคอนเทนต์ต่าง ๆ ด้วยภาษาท้องถิ่นนั้น ๆ สิ่งสำคัญคือผู้ใช้จะต้องมีทักษะเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการการเชื่อมต่อได้อย่างเต็มที่”
นายมัลคอล์ม ได้กล่าวเพิ่มเติม “ขอขอบคุณหัวเว่ยสำหรับการสนับสนุนในโครงการผสานความร่วมมือพันธมิตรดิจิทัล Partner2Connect (P2C) และสำหรับการประกาศคำมั่นสัญญาที่มีต่อโครงการ Partner2Connect (P2C) และดำเนินงานให้เกิดขึ้น ในการสร้างการเชื่อมต่อให้ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลในชนบทและการสร้างทักษะดิจิทัลให้กับคนในท้องถิ่น ผมได้แวะเข้าไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทยซึ่งเพิ่งจะได้รับการเชื่อมต่อกับเครือข่ายบรอดแบนด์จากโครงการภาครัฐ
ตอนนี้หมู่บ้านนั้นสามารถขายงานฝีมือผ่านออนไลน์และทำกำไรได้เพิ่มขึ้นถึง 300% กำไรดังกล่าวได้นำมาใช้เชื่อมต่อโรงเรียนในหมู่บ้านและมอบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปให้แก่เด็กนักเรียน นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการเชื่อมต่อสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนให้ดีขึ้นได้ ซึ่งเราเรียกมันว่าการเชื่อมต่ออย่างมีความหมาย”
คำมั่นสัญญาของหัวเว่ยที่มีต่อโครงการ Partner2Connect (P2C) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
จากการกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งนี้ ดร. เหลียงเน้นย้ำว่าการเข้าถึงเครือข่ายที่มีเสถียรภาพ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยและสิทธิพื้นฐานในยุคดิจิล และการเข้าถึงเครือข่ายการเชื่อมต่อที่ได้มาตรฐาน จะถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญ สู่การเปลี่ยนชีวิตของประชากรอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้
“การเชื่อมต่อจะกลายเป็นมากกว่าเครื่องมือที่ช่วยทำให้การติดต่อสื่อสารมีความสะดวกยิ่งขึ้น” ดร. เหลียงกล่าว “ด้วยการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างคลาวด์ และ AI การเชื่อมต่อจะนำทุกคนเข้าสู่โลกดิจิทัล โดยเข้าถึงข้อมูลและทักษะต่าง ๆ รวมถึงบริการที่ดีกว่าเดิม โอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย และในภาพใหญ่จะช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจได้ในที่สุด”
การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล บุคลากรที่มีทักษะด้านดิจิทัล และโมเดลทางธุรกิจต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาอย่างมีความสมดุลให้ครอบคลุมบริเวณพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในประเทศ โดยก่อนหน้านี้หัวเว่ยได้ประกาศว่า ภายในปีพ.ศ. 2568 ด้วยโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีที่ได้รับการยกระดับด้านคุณภาพ
หัวเว่ยจะเดินหน้าจับมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างการเข้าถึงด้านบริการทางการเงินบนแพลตฟอร์มดิจิทัลให้กับประชากรกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก และเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับประชากรกว่า 500,000 คน สำหรับประเทศไทย หัวเว่ยได้เปิดตัว Huawei ASEAN Academy ในปีพ.ศ. 2563 ซึ่งสามารถผลิตบุคลากรไอซีทีได้กว่า 60,000 คนและสร้างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้กว่า 3,000 ราย
หัวเว่ยมุ่งมั่นขับเคลื่อนสังคมด้วยการพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่หัวเว่ยพัฒนาอย่างต่อเนื่องนำไปสู่การยกระดับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกล ทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์และความสะดวกจากการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล นอกจากนั้นหัวเว่ยยังสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาโดยทัดเทียม บนพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลกอีกด้วย
หากแต่ยังเรียกร้องไปถึงการให้ “เสรีภาพแห่งการแสดงออก” รวมไปถึง “เสรีภาพของข่าวสาร” และ “นิติรัฐ” กับ “ความโปร่งใส” ด้วย
นั่นคือการข้ามเส้นของเรื่องการควบคุมโรคระบาดเข้าสู่เสรีภาพทางการเมืองที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่อาจจะยอมถอยได้
เพราะการดำรงอยู่ของพรรคอยู่ที่ความสามารถควบคุมและกำกับกิจกรรมทางการเมืองของสังคม
เสียงเรียกร้องเสรีภาพทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาร่วมการประท้วงครั้งนี้อาจจะยังห่างไกลจากการเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาจีนในเหตุการณ์ “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” ที่ถูกปราบปรามอย่างหนักเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1989
แต่ดูเหมือนว่าเมื่อเราได้เห็นและได้ยินเสียงเรียกร้องเหล่านี้ในหลายๆ เมืองหลักของจีนตลอดหลายวันที่ผ่านมา ก็เป็นเสียงสะท้อนจากในอดีตเมื่อ 33 ปีเช่นกัน
ต่างกันเพียงแต่ว่าวันนี้คนรุ่นใหม่ได้สรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ 1989 และเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
เช่น การประท้วงแบบอารยะขัดขืนด้วยการยืนชูกระดาษเปล่าในที่สาธารณะเพื่ออ้างได้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย
หรือร่วมกันร้องเพลงชาติและเพลงรักชาติของจีน...เพื่อไม่ให้ทางการอ้างว่านี่เป็นความเคลื่อนไหวทำนองบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ
นักศึกษาคนหนึ่งตะโกนกลางวงประท้วงว่า
“เราร้องเพลงชาติมันไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร การประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์ก็เริ่มด้วยการร้องเพลงชาติเช่นกัน”
ข้อเรียกร้องของนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหวาต่อทางการมี 3 ข้อที่ไม่ได้ระบุถึงการเรียกร้อง “เสรีภาพและประชาธิปไตย” ทางการเมืองในภาพกว้าง
แต่เป็นการจำกัดเฉพาะที่เกี่ยวกับการประท้วงเรื่องมาตรการโควิดเป็นหลัก
นั่นคือ หนึ่ง ให้ปล่อยผู้ประท้วงที่ถูกจับออกมาโดยไม่มีเงื่อนไข โดยยอมรับ “ความชอบธรรม” ของการประท้วงครั้งนี้ว่ากระทำไปอย่างถูกกฎหมายเพื่อความถูกต้องชอบธรรม
สอง...ให้ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่เอาผิดกับผู้ประท้วงเหล่านี้ด้วยประการทั้งปวง และจะไม่มีการ “เช็กบิล” ภายหลัง
และสาม...ให้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นออกกฎหมายยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโควิดที่เข้มข้นเกินเหตุ โดยให้ตราเป็นกฎหมายและให้ผ่านที่ประชุมสภาประชาชนที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้า
ทั้งหมดนี้ในคำเรียกร้องนั้น นักศึกษายืนยันว่าต้องทำเป็นตัวหนังสืออย่างเป็นทางการ
เพราะไม่เชื่อในคำมั่นสัญญาด้วยวาจาอีกต่อไป...เนื่องจากมีตัวอย่างในอดีตว่าการรับปากของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้น เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้จริงใจและมิได้นำไปปฏิบัติอย่างจริงจังแต่อย่างใด
ประเด็นสำคัญคือ เจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นต้องดำเนินการมาตรการโควิดอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมผ่อนปรนตามสถานการณ์ในแต่ละท้องที่ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกรัฐบาลกลางลงโทษ
เจ้าหน้าที่รัฐกลัวเจ้านายตัวเองที่ปักกิ่งมากกว่ากลัวประชาชนที่เดือดร้อน
ทุกคนต้องการจะรักษาเก้าอี้ตัวเอง เพราะผู้กำชะตากรรมของพวกเขาไม่ใช่ประชาชนในชุมชน หากแต่คือหัวหน้าในสายงานของตนในเมืองหลวง
จึงเป็นที่มาของการใช้กฎกติกาเดียวกันสำหรับทุกท้องถิ่น ทั้งๆ ที่สถานการณ์ในแต่ละชุมชนนั้นมีความแตกต่างกันพอสมควร
คำถามใหญ่วันนี้คือ สี จิ้นผิง จะใช้วิธีแบบเดียวกับเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ส่งรถถังและหน่วยปราบปรามจลาจลออกมาปราบปรามผู้ประท้วงหรือไม่
หากจะเลือกระหว่าง “ไม้แข็ง” กับ “ไม้นวม” ผมเชื่อว่า สี จิ้นผิง มีแนวโน้มที่จะใช้ไม้แข็งมากกว่า
เพราะการแสดงท่าทียอมถอยหรือประนีประนอมกับผู้ประท้วงอาจจะถูกตีความว่าเป็น “ผู้นำที่อ่อนแอ”
ในขณะที่ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ได้พยายามกระชับอำนาจมาอยู่ที่ตัวเองเกือบจะทั้งหมด
เขาต้องการจะแสดงภาพของการเป็น “ผู้นำที่เข้มแข็งที่ประชาชนพึ่งพาได้”
แทนที่จะเป็น “ผู้นำที่ประชาชนชื่นชอบและพร้อมจะแบ่งปันอำนาจกับเสียงของเจ้าของประเทศ”
แต่นั่นคือความยากลำบากสำหรับสี จิ้นผิง
เพราะเขาย่อมจะตระหนักว่าการที่คนรุ่นใหม่ออกมาร่วมประท้วงครั้งนี้อย่างคึกคักนั้นเป็นสิ่งที่เขาเองไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ได้แสดงถึงความเข้าใจที่ว่าเขาได้นำพาประเทศให้ก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่เปิดโอกาสให้กับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในการสร้างอาชีพที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูมาก
จากคำกล่าวของผู้นำจีนที่ผ่านมา ทำให้เราเชื่อว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าคนรุ่นใหม่ของจีนไม่เหมือนคนรุ่นใหม่ทางตะวันตก...ในประเด็นที่ว่าคนหนุ่มสาวของจีนยุคนี้มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนจีน และไม่ได้มีความเลื่อมใสในเรื่องของ “เสรีภาพของการแสดงออก” หรือ “ประชาธิปไตย” เหมือนตะวันตกแต่อย่างไร
แต่การแสดงออกของผู้ประท้วงเรื่องโควิดรอบนี้กลับไม่ได้เป็นไปในแบบที่ผู้นำจีนเคยคาดคิดเอาไว้
เพราะการเรียกร้องเสรีภาพทางการเมืองแบบส่วนบุคคลแทนที่จะเน้น “ความมั่นคงของสังคมจีน” โดยไม่ท้าทายอำนาจรัฐและพรรคนั้นเป็นสิ่งที่ออกนอกกรอบของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่น้อยเลย
น่าสนใจอย่างยิ่งว่า เมื่อ สี จิ้นผิง ที่ต้องการเน้น “ความเป็นจีนยุคใหม่ที่แตกต่างไปจากตะวันตก” กำลังเผชิญกับเสียงเรียกร้องขอ “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” มายืนอยู่ตรง “ทางแยก” ที่ต้องเลือกเดิน
การตัดสินใจของท่านผู้นำจะเลือกเดินทางไหน จะเป็นตัวชี้ถึงทิศทางของประเทศจีนในวันข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน.
มัตเตีย บิน็อตโต้ ได้รับการยืนยันประกาศลาออกจากจำแหน่งทีมบอส (Team Principal) ของเฟอร์รารี่ หลังสิ้นสุดปี 2022 หลังจากที่ไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จตามเป้าหมายการลุ้นแชมป์โลกฟอร์มูล่าวันได้
เมื่อช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 29 พ.ย.65 ที่ผ่านมา ทีมม้าลำพอง เฟอร์รารี่ ได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ของทีมว่า บิน็อตโต้ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งทีมบอส (Team Principal) โดยยังคงทำงานอยู่ภายในทีมไปจนถึง 31 ธ.ค.65 นี้ หลังร่วมงานกับทีมมานานถึง 28 ปี และไม่ต่อสัญญาออกไปกับทีมอย่างแน่นอน
ด้าน เบเนเด็ตโต้ บีญ่า ซีอีโอของทีมม้าลำพอง ได้ออกมากล่าวในประเด็นนี้ว่า “ผมขอขอบคุณ มัตเตีย สำหรับผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมายตลอด 28 ปีกับ เฟอร์รารี่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการนำทีมกลับสู่ตำแหน่งที่สามารถแข่งขันได้ในช่วงปีที่ผ่านมา เป็นผลให้เราอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งในการต่ออายุความท้าทายของเรา เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับแฟน ๆ ที่น่าทึ่งของเราเพื่อผลงานที่สูงสุดในกีฬามอเตอร์สปอร์ต ทุกคนที่นี่ ในทีมสคูเดอเรีย เฟอร์รารี่ ขอให้ บิน็อตโต้ ประสบความสำเร็จในอนาคต”
มัตเตีย บิน็อตโต้ ก็ได้เปิดใจกับเรื่องนี้ว่า "จากผลงานอันน่าผิดหวังที่เกิดขึ้น ผมจึงตัดสินใจยุติความบทบาททุกตำแหน่งในทีม เฟอร์รารี่ ตอนนี้ผมได้ลาออกจากทีมที่ผมรัก ที่เป็นส่วนหนึ่งมาเป็นเวลา 28 ปี ด้วยความสุขที่มาจากความเชื่อมั่นว่าผมได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ทีมได้ตั้งไว้ ผมออกจากทีมที่เป็นหนึ่งเดียวกันและกำลังเติบโตไปด้วยกัน เป็นทีมที่แข็งแกร่ง ผมแน่ใจว่าพร้อมที่จะบรรลุเป้าหมายสูงสุด ซึ่งผมหวังว่าทุกอย่างจะดีที่สุดสำหรับอนาคต และผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจถูกต้องแล้วที่จะดำเนินการตามขั้นตอนนี้ในเวลาที่ยากลำบากของผมกับการตัดสินใจครั้งนี้ ผมอยากจะขอบคุณทุกคนในทีมที่ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้กับความยากลำบาก แต่ก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจเช่นกัน”
ทั้งนี้ บิน็อตโต้ ได่รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมเฟอร์รารี่ แทนที่ของ เมาริซิโอ อาร์ริวาเบเน่ เมื่อปี 2019 นั้น ทีมได้เกิดข้อผิดพลาดมากมาย ทั้งการวางแผนของทีม (Team Strategy) หรือ การวางแผนให้กับนักขับในทีม จนทำทีมให้พลาดแชมป์โลกในช่วงที่ผ่านมา ในซีซั่นที่พึ่งจบลงไปทีมม้าลำพองจบในอันดับ 2 ในประเภททีมผู้ผลิต (Team Constructors) โดยคว้าแชมป์ไปเพียงแค่ 4 สนาม จากทั้งหมด 22 สนาม ทั้งๆที่ออกสตาร์ตได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงต้นฤดูกาล แต่ก็มาพลาดท่าให้กับเรดบูลล์ เรซซิ่ง ตลอดช่วงที่เหลือของปี 2022
จากการลาออกของ บิน็อตโต้ ทางเฟอร์รารี่กำลังคัดเลือกทีมบอส (Team principal) คนใหม่อยู่ ซึ่งจะได้คำตอบภายในช่วงปีใหม่นี้
ที่มาของภาพ : -
โพลระบุปชช.ส่วนใหญ่เชื่อเหตุความรุนแรงทางเพศเกิดจากผู้ชายขาดความเคารพในผู้หญิง เผยการชักชวนให้เหยื่อออนไลน์หลงรัก หลอกให้โอนเงิน เป็นความรุนแรงทางเพศ
เมื่อวันที่ 27 พ.ย.65 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล ร่วมกับ ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศในสังคมไทย ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10-15 พ.ย.65 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,311 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเข้าใจในรูปแบบหรือลักษณะความรุนแรงทางเพศในสังคมไทย
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความเข้าใจในรูปแบบหรือลักษณะความรุนแรงทางเพศ พบว่า 1.การที่นักเรียนชายรุ่นพี่พยายามข่มขืนนักเรียนหญิงรุ่นน้องที่คิดว่าชอบตัวเอง ตัวอย่าง ร้อยละ 86 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 2.14 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 2.การที่สามีบังคับให้ภรรยา (ซึ่งไม่มีงานทำหรือไม่มีรายได้) ค้าบริการทางเพศ โดยขู่ว่าจะไล่ออกจากบ้านหากไม่ยอมทำตาม ตัวอย่างร้อยละ 30 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
3.การหว่านล้อมจากการคุยออนไลน์ให้ผู้หญิงส่งรูปเปลือยของตนเองไปให้ แล้วขู่ว่าจะประจานให้เสียชื่อเสียงหากไม่ส่งเงินมาให้ ตัวอย่าง ร้อยละ 90 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 15.10 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 4.เหตุการณ์จากหัวข้อข่าว สาวสวยถูกแฟนทำร้ายดับ อ้างหึงหวง ตัวอย่าง ร้อยละ 14 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 16.86 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
5.การที่ผู้หญิงแต่งตัวโป๊และถูกแอบถ่ายรูปไปลงในโซเชียลมีเดียและวิพากษ์วิจารณ์ จนเธอรู้สึกอับอาย ตัวอย่าง ร้อยละ 81 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 23.19 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 6.การที่พนักงานรู้สึกอึดอัดใจที่ผู้บริหารมักเล่าเรื่องขำขันเชิงเพศและแชร์รูปโป๊เปลือยบ่อยครั้ง รวมทั้งแซวรูปโฉมผู้หญิง ตัวอย่าง ร้อยละ 76.81 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 219 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 7.การที่สามีบังคับให้ภรรยามีเพศสัมพันธ์ด้วยในขณะที่ภรรยาไม่ยินยอม ตัวอย่าง ร้อยละ 31 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 27.69 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
8.การที่เด็กหญิงไม่พอใจที่ญาติสนิทผู้ชายชอบกอดและหอมแก้ม ตัวอย่าง ร้อยละ 71.32 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 28.68 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 9.การที่สามีหรือภรรยามีชู้หรือนอกใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายเกิดความเศร้าโศกเสียใจ ตัวอย่าง ร้อยละ 17 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 47.83 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 10.การชักชวนให้เหยื่อออนไลน์หลงรัก และหลอกให้โอนเงินให้ ตัวอย่าง ร้อยละ 50.88 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 49.12 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
ท้ายที่สุดเมื่อถามประชาชนถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงทางเพศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 64.15 ระบุว่า ผู้ชายขาดความเคารพในผู้หญิง รองลงมา ร้อยละ 50.04 ระบุว่า ผู้ชายขาดความเข้าใจในความรู้สึกยินยอมหรือไม่ยินยอมของผู้หญิง ร้อยละ 47.52 ระบุว่า ผู้หญิงแต่งตัวไม่ดี ให้ท่าผู้ชาย ร้อยละ 3.51 ระบุว่า การเลียนแบบพฤติกรรมที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ เช่น ละคร สื่อสังคมออนไลน์ ร้อยละ 1.53 ระบุว่า ยาเสพติดและสิ่งมึนเมา ร้อยละ 0.69 ระบุว่า การเลี้ยงดูของครอบครัว ร้อยละ 0.53 ระบุว่า ขาดสติ/อารมณ์ชั่ววูบ ร้อยละ 0.46 ระบุว่า ปัญหาชู้สาว ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่เกรงกลัวบทลงโทษตามกฎหมาย และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ค่านิยมผู้ชายเป็นใหญ่
โพลระบุปชช.ส่วนใหญ่เชื่อเหตุความรุนแรงทางเพศเกิดจากผู้ชายขาดความเคารพในผู้หญิง เผยการชักชวนให้เหยื่อออนไลน์หลงรัก หลอกให้โอนเงิน เป็นความรุนแรงทางเพศ
เมื่อวันที่ 27 พ.ย.65 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล ร่วมกับ ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศในสังคมไทย ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10-15 พ.ย.65 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,311 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเข้าใจในรูปแบบหรือลักษณะความรุนแรงทางเพศในสังคมไทย
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความเข้าใจในรูปแบบหรือลักษณะความรุนแรงทางเพศ พบว่า 1.การที่นักเรียนชายรุ่นพี่พยายามข่มขืนนักเรียนหญิงรุ่นน้องที่คิดว่าชอบตัวเอง ตัวอย่าง ร้อยละ 86 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 2.14 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 2.การที่สามีบังคับให้ภรรยา (ซึ่งไม่มีงานทำหรือไม่มีรายได้) ค้าบริการทางเพศ โดยขู่ว่าจะไล่ออกจากบ้านหากไม่ยอมทำตาม ตัวอย่างร้อยละ 30 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
3.การหว่านล้อมจากการคุยออนไลน์ให้ผู้หญิงส่งรูปเปลือยของตนเองไปให้ แล้วขู่ว่าจะประจานให้เสียชื่อเสียงหากไม่ส่งเงินมาให้ ตัวอย่าง ร้อยละ 90 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 15.10 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 4.เหตุการณ์จากหัวข้อข่าว สาวสวยถูกแฟนทำร้ายดับ อ้างหึงหวง ตัวอย่าง ร้อยละ 14 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 16.86 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
5.การที่ผู้หญิงแต่งตัวโป๊และถูกแอบถ่ายรูปไปลงในโซเชียลมีเดียและวิพากษ์วิจารณ์ จนเธอรู้สึกอับอาย ตัวอย่าง ร้อยละ 81 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 23.19 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 6.การที่พนักงานรู้สึกอึดอัดใจที่ผู้บริหารมักเล่าเรื่องขำขันเชิงเพศและแชร์รูปโป๊เปลือยบ่อยครั้ง รวมทั้งแซวรูปโฉมผู้หญิง ตัวอย่าง ร้อยละ 76.81 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 219 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 7.การที่สามีบังคับให้ภรรยามีเพศสัมพันธ์ด้วยในขณะที่ภรรยาไม่ยินยอม ตัวอย่าง ร้อยละ 31 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 27.69 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
8.การที่เด็กหญิงไม่พอใจที่ญาติสนิทผู้ชายชอบกอดและหอมแก้ม ตัวอย่าง ร้อยละ 71.32 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 28.68 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 9.การที่สามีหรือภรรยามีชู้หรือนอกใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายเกิดความเศร้าโศกเสียใจ ตัวอย่าง ร้อยละ 17 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 47.83 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ 10.การชักชวนให้เหยื่อออนไลน์หลงรัก และหลอกให้โอนเงินให้ ตัวอย่าง ร้อยละ 50.88 ระบุว่า เป็นความรุนแรงทางเพศ ขณะที่ร้อยละ 49.12 ระบุว่า ไม่ใช่ความรุนแรงทางเพศ
ท้ายที่สุดเมื่อถามประชาชนถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงทางเพศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 64.15 ระบุว่า ผู้ชายขาดความเคารพในผู้หญิง รองลงมา ร้อยละ 50.04 ระบุว่า ผู้ชายขาดความเข้าใจในความรู้สึกยินยอมหรือไม่ยินยอมของผู้หญิง ร้อยละ 47.52 ระบุว่า ผู้หญิงแต่งตัวไม่ดี ให้ท่าผู้ชาย ร้อยละ 3.51 ระบุว่า การเลียนแบบพฤติกรรมที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ เช่น ละคร สื่อสังคมออนไลน์ ร้อยละ 1.53 ระบุว่า ยาเสพติดและสิ่งมึนเมา ร้อยละ 0.69 ระบุว่า การเลี้ยงดูของครอบครัว ร้อยละ 0.53 ระบุว่า ขาดสติ/อารมณ์ชั่ววูบ ร้อยละ 0.46 ระบุว่า ปัญหาชู้สาว ร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่เกรงกลัวบทลงโทษตามกฎหมาย และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ค่านิยมผู้ชายเป็นใหญ่
ข้อดี
ผมไม่ทราบจริงๆว่ารัฐบาลจีนจะเลือกทางไหน แต่ตอนนี้ต้องเลือกแล้ว เพราะสถานการณ์การระบาดกำลังบานปลาย สำหรับ Covid โดยเฉพาะ Omicron มันไม่มีตรงกลาง
ทุกประเทศที่เคยคิดว่าจะคุมให้พออยู่ได้ ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ มีทางเลือกเพียงแค่ ปิดให้สนิท หรือ เปิดแล้วยอมรับความตาย รัฐบาลจีนรู้เรื่องเหล่านี้ดีมาก รู้ทุกตัวเลข และก่อนหน้านี้ทางเลือกที่ 2 ไม่ใช่ทางเลือก จนกว่าการเลือกประธานาธิบดี ให้เป็นท่านสี จิ้นผิง เป็นวาระที่ 3 จะผ่านลุล่วงไปเสียก่อน ซึ่งเมื่อผ่านมาแล้ว ก็จึงสามารถเป็นไปได้ที่รัฐบาลจีนจะเลือกได้ทั้ง 2 ทาง
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจจีนมีปัญหาแน่นอน Supply Chain มีปัญหาแน่นอน คนจีนไม่ได้ฉลองปีใหม่แน่นอน สิ่งที่จะแตกต่างก็คือ หลังจากนั้น 2023 Q3Q4 ถ้าเป็นทางเลือกที่ 2 จีนจะกลับมาอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวก็จะกลับมา แต่ถ้าเป็นทางเลือกที่ 1 ก็จะวนวูปกันต่อไปอีกยาวนานครับ ซึ่งก็ต้องเตรียมตั้งรับกันทั้ง 2 แบบ โดยเฉพาะคนไทยในประเทศจีนซึ่งมีจำนวนมาก น่าะต้องเตรียมตั้งรับทั้งเรื่อง อาหาร วัคซีน Booster และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับทั้ง 2 ทางเลือก ซึ่งก็น่าจะหนักทั้งคู่
หลายประเทศที่เรียกร้องกดดันให้จีนเปิดประเทศและผ่อนคลาย นั่นเท่ากับว่า ร้องขอให้มีการสละ 5 ล้านชีวิต ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับการกดดันแบบนั้น ทุกอย่างต้องให้เกียรติและเคารพกับการตัดสินใจของรัฐบาลจีน เศรษฐกิจก็สำคัญ ชีวิตคนก็สำคัญ ความอยู่รอดของประเทศชาติก็สำคัญ เป็นการตัดสินใจที่ยากอย่างยิ่ง
รู้จัก "ยามุ่งเป้า" ทางเลือกใหม่ของการ "รักษามะเร็ง" ยับยั้งกลไกการทำงานของยีนกลายพันธุ์ เซลล์ มะเร็ง ถูกทำลาย
หากพูดถึงโรค ที่เมื่อเอ่ยชื่อแล้ว หลายคนกลัว คงหนีไม่พ้น "มะเร็ง" เพราะจากสถิติพบว่า มีผู้เสียชีวิต จากโรคมะเร็ง เพิ่มมากขึ้น และส่วนใหญ่ เมื่อเป็นแล้วรักษาไม่หาย แต่ปัจจุบัน วิวัฒนาการ การรักษามะเร็ง ก็มีมากขึ้น การศึกษาพันธุกรรมของเซลล์มะเร็ง ทำให้ค้นพบว่า เซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติเฉพาะตัว
เช่น มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ซึ่งส่งผลต่อการส่งสัญญาณการแบ่งตัวภายในเซลล์ (Signal transduction pathway) ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้เองอย่างไม่จำกัด มีความสามารถในการสร้างหลอดเลือดมาเลี้ยงตัวเอง สามารถหลบหลีกการถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย และสามารถมีความสามารถแพร่กระจายไปอวัยวะต่าง ๆ ได้
นพ.วรเศรษฐ์ สายฝน คลินิกโรคมะเร็ง ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ความสามารถพิเศษเหล่านี้ เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนบางชนิด ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของโปรตีนต่าง ๆ ที่ควบคุมการแบ่งตัวของมะเร็ง โดยมะเร็งแต่ละชนิดมีการกลายพันธุ์ของยีนต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน
เมื่อนักวิจัยสามารถศึกษาจนค้นพบว่า กลไกใดสำคัญต่อมะเร็งชนิดใด จึงสามารถพัฒนายามายับยั้งกลไกการทำงานของยีนกลายพันธุ์นั้น ๆ ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายลงได้ในที่สุด จึงเรียกยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงในกลไกการแบ่งตัวที่ถูกรบกวนเหล่านี้ว่า "ยามุ่งเป้า" (Targeted therapy)
ความแตกต่างระหว่างยามุ่งเป้าและยาเคมีบำบัด
รูปแบบของยามุ่งเป้า
ประโยชน์ของยามุ่งเป้าในการรักษามะเร็ง
ผลข้างเคียงของยามุ่งเป้า
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่
ขั้นตอนการใช้ยามุ่งเป้ารักษามะเร็ง
ข้อจำกัดการใช้ยามุ่งเป้า
มีการใช้เฉพาะในมะเร็งบางชนิดเท่านั้น เช่น
โดยยามุ่งเป้าในปัจจุบัน จะมีชนิดออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งเซลล์ และชนิดที่ยับยั้งการสร้างเส้นเลือดเป็นหลัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เออร์ลิง ฮาลันด์ กองหน้าฟอร์มแรงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 แต่ก็ไม่ได้ว่างเพราะเขากำลังยุ่งอยู่กับการสานสัมพันธ์รักหวานฉ่ำกับ อิซาเบล เฮาเซ็งจ์ โยแฮนเซ่น แข้งสาววัย 18 ปี
สตาร์ลูกหนังชาวนอร์เวย์ กำลังปลูกต้นรักกับ อิซาเบล ซึ่งเป็นนักฟุตบอลหญิงและมาจากเมืองเดียวกับฮาลันด์ หลังทั้งสองคนออกเดทกันมาแล้วช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และล่าสุดก็มีภาพพวกเขาอยู่ในเมืองมาร์เบลล่าช่วงสัปดาห์นี้
อดีตดาวยิง "เสือเหลือง" โบรุสเซียดอร์ทมุนด์ กับ อิซาเบล เติบโตมาด้วยกันที่เมืองไบรน์ และก็เป็นเพื่อนกันมานานหลายปี แถมยังเล่นฟุตบอลด้วยกันให้กับสโมสรลูกหนังท้องถิ่น
แหล่งข่าวเผยกับ "เดอะ ซัน" สื่อดังในอังกฤษว่า "มันดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะจริงจังกันมาก อิซาเบล เคยเดินทางไปที่เยอรมนี และ อังกฤษ เพื่อไปดู ฮาลันด์ ลงเล่น และตอนนี้เธอก็อยู่กับเขาที่เมืองมาร์เบลล่า อืม อิซาเบล เป็นคนสวยมาก พวกเขารู้จักกันและกันมานานแล้ว"
ทั้งนี้ ฮาลันด์ ซึ่งเคยเล่นมุกว่าฟุตบอลเป็น "แฟนสาว" ของตน ฟอร์มแรงเหลือเกินนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นกับ "เรือใบสีฟ้า" โดยซัดไป 23 ประตูจาก 18 เกมในซีซั่นนี้ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปโชว์ฝีเท้าในศึกเวิลด์ คัพ เพราะ นอร์เวย์ ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
ที่มาของภาพ : gettyimages.ae, twitter.com
ความเคลื่อนไหวล่าสุด ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องการย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ครั้งที่ 11/2565 พลเอกประยุทธ์ได้ตอบคำถามประเด็นดังกล่าวกับสื่อมวลชน โดยเปิดหน้ากากอนามัยลงแล้วกล่าวว่า ติดตามสื่อเอาก็แล้วกัน
สำหรับวาระการประชุมก.ตร.ที่น่าสนใจวันนี้ คือการอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลปกครอง กรณีรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ยื่นฟ้อง คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ และนายกรัฐมนตรีต่อศาลปกครองกลาง กรณีเจ้าหน้าที่รัฐ ออกคำสั่งมิชอบด้วยกฎหมาย ที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานการประชุม ก.ตร.วันที่ 29 สิงหาคม 2565 และได้โยกย้ายข้าราชการ ชั้นนายพลซึ่งเป็นการโยกย้าย ระหว่างที่ พลเอกประยุทธ์ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.
สสส.-สคอ. ผนึกกำลังภาคี ปั้น “นักสื่อสารรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนน” เตรียมพร้อมรับมืออุบัติทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 แนะใช้เครื่องมือและข้อมูลในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ย้ำการสื่อสารที่เข้าใจง่าย-กระชับ-ตรงกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้
สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จังหวัดนครสวรรค์ และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดการประชุม “พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายประชาสัมพันธ์ สู่การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน” เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2565 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและเพิ่มทักษะความรู้ความสามารถให้แก่ภาคีเครือข่ายด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ตลอดจนร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ เรื่องการจัดความเร็ว สวมหมวกนิรภัย และรถจักรยานยนต์ปลอดภัย
นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ในฐานะประธานเปิดการประชุม กล่าวว่า ตามที่ได้รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้นำกรอบการดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปฏิญญาสตอกโฮล์ม และแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน ฉบับที่ 5 พ.ศ.2565 - 2570 มาขับเคลื่อนการดำเนินงาน มีเป้าหมายลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 12 คนต่อประชากรแสนคนภายในปี 2570 โดยมีกรอบการดำเนินงาน 4 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 มุ่งเป้าลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสของผู้ใช้รถใช้ถนน ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของยานพาหนะ ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและการเดินทางที่ยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนารากฐานโครงสร้างการงานด้านความปลอดภัยทางถนน พันธกิจสำคัญได้แก่ 1. เน้นจัดการกับความเสี่ยง หรือภัยคุกคามสำคัญของประเทอย่างจริงจัง เร่งด่วน ซึ่งครอบคลุมประเด็นผู้ใช้ใช้ถนน โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง 2. เน้นจัดการความเสี่ยงอย่างจริงจัง เร่งด่วน ซึ่งครอบคลุมประเด็น ยานพาหนะทุกประเภท โดยให้ความสำคัญกับยานพาหนะที่มีความเสี่ยงสูง 3. ปรับปรุงและพัฒนาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ที่เอื้อต่อการสัญจรทุกรูปแบบอย่างยั่นยืน ทั้งการสัญจรที่ใช้ยานยนต์และการสัญจรที่ไม่ใช้ยานยนต์ 4. สร้างรากฐานการทำงานด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ สามารถขับเคลื่อนการทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การปรับปรุงข้อกฎหมาย การจัดสรรงบประมาณอย่างสร้างสรรค์ และการติดตามประเมินผลที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
นายจุมพฏ กล่าวต่อว่ การทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัด ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนขับเคลื่อนไปด้วยกัน และใกล้จะถึงเทศกาลปีใหม่ 2566 ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจะเพิ่มสูง จังหวัดนครสวรรค์ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดทางผ่านของรถจำนวนมากที่ต้องเดินทางต่อไปยังภาคเหนือ มีเส้นทางหลายเส้นทาง ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังป้องกัน ต้องร่วมมือกันสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นได้ในที่สุด ซึ่งจังหวัดนครสวรรค์เองก็ได้มีการพัฒนาระบบข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว เช่น การสร้าง Platform คาดว่าจะได้ใช้ก่อนปีใหม่นี้ ดังนั้นเครือข่ายด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่ต้องรู้จักใช้เครื่องมือและข้อมูลพื้นที่และนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารไปยังประชาชนให้เกิดความตระหนัก รับรู้และเกรงกลัวต่อความเสี่ยงอันตรายจากอุบัติเหตุทางถนน ว่าหากยังประมาท ขาดวินัย และไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร จะส่งผลกระทบให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอันมหาศาล
นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า อุบัติเหตุทางถนนยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงมากกว่าสาเหตุอื่น ไม่ว่าจะเป็นดื่มแล้วขับ ขับเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย และการทำผิดกฎจราจรต่างๆ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวหรือเทศกาลสำคัญที่มักเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตสูง โดยสถิติอุบัติช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่ผ่านมา พบว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 2,707 ครั้ง บาดเจ็บ 2,672 คน ผู้เสียชีวิต 333 ราย สาเหตุได้แก่ ขับเร็ว ร้อยละ 35.12 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 29.51 ตัดหน้ากระชั้นชิด 17.84 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น ทาง สคอ. จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดประชุมพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายประชาสัมพันธ์ สู่การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนขึ้น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและทักษะความรู้ให้แก่ภาคีเครือข่ายด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นย้ำเรื่องการจัดความเร็ว สวมหมวกนิรภัย และรถจักรยานยนต์ปลอดภัย ให้แก่ผู้แทนอำเภอ 15 แห่งของจังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 30 คน เพื่อเป็น “นักสื่อสารรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนน” ที่สามารถแปลงนโนบายสู่การปฏิบัติที่เข้าใจง่าย เผยแพร่ข้อมูลไปทุกช่องทางการสื่อสารในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ทำให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในพื้นที่ได้เกิดความตระหนัก ลดความเสี่ยง ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนลงให้ได้มากที่สุด
พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยู่ในภาวะ “ฝุ่นตลบ” ภายหลังปรากฏกระแสข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมเปิดตัวร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นในปี 2566
ถึงขณะนี้ยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการว่า พล.อ. ประยุทธ์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของ พปชร. ในการเลือกตั้งปี 2562 จะย้ายไปสังกัด รทสช. ซึ่งมีที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค จริงหรือไม่
ภายหลังสื่ออย่างน้อย 2 สำนักคือ ไทยรัฐ และเครือเนชั่น รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ แจ้งลา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า พปชร. ขอไปทำงานเมืองกับ รทสช. และจะมีการเปิดแถลงข่าวในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (22 พ.ย.) พี่น้อง 2 ป. พล.อ. ประยุทธ์ กับ พล.อ. ประวิตร ไม่มีโอกาสพบหน้ากัน เนื่องจากรองนายกฯ ประวิตร อยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ระหว่างวันที่ 22 -24 พ.ย. ตามที่นายกฯ ประยุทธ์ มอบหมาย
พล.อ. ประยุทธ์ ปฏิเสธจะให้ความชัดเจนในทางเมืองภายหลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยกล่าวเพียงว่า “ขอให้อยู่ในบรรยากาศความสุขก่อนแล้วกัน”
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแยกกันเดินในทางการเมืองกับ พล.อ. ประวิตร จริงหรือไม่ นายกฯ ไม่ได้ตอบคำถามนี้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดกระแสข่าว “แยกกันเดิน” ของพี่น้อง 2 ป. หลังเกิดการปะทะทางอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล-คุมฝ่ายบริหาร กับ พล.อ. ประวิตร ในฐานะผู้นำพรรค-คุมเสียงฝ่ายนิติบัญญัติ คอยบงการ-สั่งการทางการเมืองอยู่เนือง ๆ
รศ.ดร. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย และเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นภาวะ “มังกรสองหัว” แต่เหตุการณ์ผ่านไป "ป.ประยุทธ์" ก็ยังไม่มีทีท่าจะแยกวงจาก "ป.ประวิตร" กระทั่งเกิความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้
แหล่งข่าวจาก พปชร. ผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ วิเคราะห์กับบีบีซีไทยว่า หาก พล.อ. ประยุทธ์ ตีจาก พปชร. จริง จะเป็นผลดีกับพรรคมากกว่า พร้อมคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างน้อย 7 ข้อ
ในพรรค
1. พรรคจะมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น เพราะสมาชิกทุกคนขึ้นตรงกับหัวหน้าพรรค จากเดิมเป็น “องค์กรสองหัว”
2. สมาชิกพรรคบางส่วนอาจลาออกจาก พปชร. แล้วย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ เช่น ภาคใต้ ภาคกลาง และ กทม. แต่ “คนไปมีแค่นิดเดียว คนกลับมาเยอะกว่า”
3. “ผู้กำกับ” ต้องผันตัวมาเป็น “นักแสดง” เสียเอง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อเสียงคะแนนนิยมของพรรค แม้ในการเลือกตั้งปี 2562 ผู้ลงคะแนนเสียงให้ พปชร. ส่วนหนึ่งเพราะต้องการให้ “ลุงตู่” กลับมาเป็นนายกฯ ไม่ได้เลือกเพราะ “ลุงป้อม” ก็ตาม
“ลุงป้อมเขาอยู่เบื้องหลังไง เป็นคนดูแลผู้สมัครทั้งหมด พล.อ. ประยุทธ์เปรียบเหมือนดารา ส่วน พล.อ. ประวิตรเป็นเหมือนผู้กำกับ เวลาหนังออกมาดี ถามว่าเป็นเพราะดารา หรือผู้กำกับละ” นักการเมืองสังกัด พปชร. ซึ่งเลือกแล้วว่าจะอยู่พรรคเดิมต่อไป กล่าว
คนการเมืองรายนี้เชื่อว่า ถ้า “ผู้กำกับ” โดดมาอยู่หน้าฉากในฐานะ “นักแสดง” เสียเอง จะไม่เป็นปัญหา เพราะ “ผู้กำกับส่วนใหญ่ก็มีความสามารถในการแสดง เคยเป็นดาราดังมาก่อนทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้กำกับได้ยังไง”
ในสนามเลือกตั้ง-สภาผู้แทนราษฎร
4. พรรคต้องเตรียมวิธีการสื่อสารเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” เพื่อนำมาต่อยอดเป็นนโยบายหาเสียงของ พปชร. ไม่ได้เป็นสิ่งที่ติดตามตัวนายกฯ ไป และพรรคอื่นไม่สามารถแย่งเอาไปได้
5. การตัดฐานเสียงกันเองระหว่าง พปชร. รทสช. และพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ที่มีรากเหง้ามาจาก พปชร. ประเมินว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะอีกฝั่งก็ตัดฐานเสียงกันเองเช่นกัน เมื่อมีการเลือกตั้ง ทุกพรรคการเมืองก็ต้องแข่งกันเต็มที่โดยไม่มีพันธมิตร
6. หากแคนดิเดตนายกฯ คือ พล.อ. ประวิตร จะทำให้ พปชร. สามารถร่วมงานการเมืองกับทุกฝ่ายได้
ในรัฐสภา
7. เสียงในวุฒิสภาอาจแตกออกเป็นสองส่วน คงไม่มีภาพการโหวตเลือกนายกฯ ด้วยมติเอกฉันท์ของวุฒิสภาแบบในคราวเลือกตั้งปี 2562 เพราะขณะนี้ “ส.ว. ไม่เป็นเอกภาพ” และ “ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งทั้งหมด แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นน่าจะต้องเคลียร์กันแล้ว”
ขณะที่แกนนำกลุ่มก้อนการเมืองภายใน พปชร. ที่ยอมเปิดหน้าให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ต่างสงวนคำ-ท่าที เพราะไม่มีใครประสงค์จะเป็นผู้ยืนยันกระแสข่าวที่เกิดขึ้น
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค และแกนนำกลุ่ม “สามมิตร” ไม่ขอตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่ากลุ่มสามมิตรยังคงอยู่กับ พปชร. หรือไม่ โดยระบุว่า ได้ตอบไปแล้ว ถ้าเอาไปวิเคราะห์กัน ก็จะวิเคราะห์ออก
“มันเป็นเรื่องข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ จึงต้องว่ากันด้วยข้อมูลใหม่ จะไปพูดกันว่าเราชอบไม่ชอบ รักไม่รัก แล้วตัดสินใจไปร่วมหัวจมท้าย ทางการเมืองมันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องของข้อมูลและความเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นเข้ามาด้วย ขณะนี้ข้อมูลเปลี่ยนแปลงใหม่หมดแล้ว จึงต้องล้างเม็มโมรี (หน่วยความจำ) เก่าออกให้หมด และทำใจให้นิ่ง แล้วคิดต่อไปว่าความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป” แกนนำกลุ่มสามมิตรกล่าว
ย้อนกลับไปกลางเดือน ต.ค. นายสมศักดิ์ประกาศต่อสาธารณะว่า “สามมิตรไม่คิดไปไหนครับ ยังยืนยันอยู่พลังประชารัฐ” และ “มั่นใจว่า พล.อ. ประยุทธ์ สามารถควบคุมสถานการณ์และทำงานได้”
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์วันนี้ (22 พ.ย.) นายสมศักดิ์ไม่ได้พูดตรง ๆ ว่า “ข้อมูลใหม่” ที่เอ่ยถึงหลายครั้งคืออะไร แม้สื่อมวลชนจะตั้งประเด็นให้ว่าเป็นเรื่อง พล.อ. ประยุทธ์ย้ายพรรค กับ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) กลับพรรค
“การตัดสินใจไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันต้องมีข้อมูลให้ครบ” นายสมศักดิ์กล่าว
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการ พปชร. บอกเพียงว่า “ยังไม่ทราบ” ไม่ว่าจะถูกถามถึงกระแสข่าว 2 ป. แยกทางกัน หรือข่าว ส.ส. บางส่วนเตรียมย้ายพรรคตามนายกฯ ไป
คำถามเพียงข้อเดียวที่นายสันติพอให้ความกระจ่างบ้าง คือคำถามที่ว่ายืนยันว่าจะอยู่ช่วย พล.อ. ประวิตร ไม่คิดไปไหนใช่หรือไม่
“ในฐานะเลขาธิการพรรคก็ยืนยัน” นายสันติกล่าว
มีรายงานว่า แมนยูฯ กำลังเข้าทางสะดวกในการคว้าตัว จูด เบลลิงแฮม หลังมีรายงานว่า 1 ในทีมที่สนใจคว้าตัวถอนทัพไปแล้วเพราะโดนค่าตัวแพงลิบ
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2565 ซัน สปอร์ต สื่อกีฬาชื่อดังของอังกฤษ รายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังแห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เตรียมเร่งคว้าตัว จูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ดาวรุ่งของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทีมให้ได้ในตลาดซื้อขาย 2 หนนับจากนี้
โดยมีรายงานว่า คู่อริเบอร์ 1 อย่าง เรอัล มาดริด ที่ชื่นชอบในแข้งรายนี้มานานหลายปี ได้เข้าไปเจรจาขอซื้อตัวนักเตะรายนี้แล้วแต่กลับไม่สามารถจ่ายค่าตัวที่แพงแสนแพงได้โดยมีรายงานว่า ค่าตัวที่ "เสือเหลือง" ตั้งเอาไว้สูงถึง 130 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 5.5 พันล้านบาท เลยทีเดียว และถือเป็นโอกาสที่ "ปิศาจแดง" จะรุกคืบไปเอาตัวแข้งรายนี้มาให้ได้ในตลาดซื้อขาย 2 รอบนับจากนี้
สำหรับ จูด เบลลิงแฮม มีดีกรีเป็นถึง 1 ในขุนพลทีมชาติอังกฤษ ชุดฟุตบอลโลก 2022 ที่แกเร็ธ เซาธ์เกต เลือกไปใช้งานที่กาตาร์ด้วย และยังเป็นถึงรองแชมป์ ยูโร 2020 อีกด้วยเช่นกันโดยผลงานในซีซั่นนี้ลงเล่นไปทั้งหมด 22 เกมทำไป 9 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ ปัจจุบันในวัย 19 ปี เหลือสัญญากับ ดอร์ทมุนด์ อีกมากถึง 3 ปีเต็มๆ
หลังจากมีประกาศออกมาว่าฟรีทีวี 17 ช่องในประเทศไทยประกอบด้วย ทรูโฟร์ยู, ทีสปอร์ต 7, ช่อง 3, ช่อง 5, ช่อง 7, ช่อง 8, ช่อง 9 MCOT, NBT, TPBS, ไทยรัฐทีวี, PPTV 36, GMM 25, เนชั่นทีวี, ONE 31, อมรินทร์ทีวี, MONO29 และ JKN 18 ได้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2022 ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้
ล่าสุดมีการคลอดผังรายการทั้ง 64 แมทช์ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วดังนี้
20 พ.ย. 23.00 น. : กาตาร์ - เอกวาดอร์ (ทรูโฟร์ยู / ทีสปอร์ต 7)
21 พ.ย. 20.00 น. : อังกฤษ - อิหร่าน (ทรูโฟร์ยู)
21 พ.ย. 23.00 น. : เซเนกัล พบ เนเธอร์แลนด์ส (JKN18)
22 พ.ย. 02.00 น. : สหรัฐอเมริกา - เวลส์ (ทีสปอร์ต 7)
22 พ.ย. 17.00 น. : อาร์เจนตินา - ซาอุดิอาระเบีย (ทรูโฟร์ยู)
22 พ.ย. 20.00 น. : เดนมาร์ก - ตูนิเซีย (ทรูโฟร์ยู)
22 พ.ย. 23.00 น. : เม็กซิโก - โปแลนด์ (ช่อง 3)
23 พ.ย. 02.00 น. : ฝรั่งเศส - ออสเตรเลีย (MONO29)
23 พ.ย. 17.00 น. : โมร็อกโก - โครเอเชีย (ทรูโฟร์ยู)
23 พ.ย. 20.00 น. : เยอรมนี - ญี่ปุ่น (ช่อง 7)
23 พ.ย. 23.00 น. : สเปน - คอสตาริก้า (ทรูโฟร์ยู)
24 พ.ย. 02.00 น. : เบลเยียม - แคนาดา (ไทยรัฐทีวี)
24 พ.ย. 17.00 น. : สวิตเซอร์แลนด์ - แคเมอรูน (TPBS)
24 พ.ย. 20.00 น. : อุรุกวัย - เกาหลีใต้ (ทรูโฟร์ยู)
24 พ.ย. 23.00 น. : โปรตุเกส - กานา (ทรูโฟร์ยู)
25 พ.ย. 02.00 น. : บราซิล - เซอร์เบีย (ช่อง 8)
25 พ.ย. 17.00 น. : เวลส์ - อิหร่าน (ทรูโฟร์ยู)
25 พ.ย. 20.00 น. : กาตาร์ - เซเนกัล (ทรูโฟร์ยู)
25 พ.ย. 23.00 น. : เนเธอร์แลนด์ส - เอกวาดอร์ (PPTV)
26 พ.ย. 02.00 น. : อังกฤษ - สหรัฐอเมริกา (ทรูโฟร์ยู)
26 พ.ย. 17.00 น. : ตูนิเซีย - ออสเตรเลีย (ทรูโฟร์ยู)
26 พ.ย. 20.00 น. : โปแลนด์ - ซาอุดิอาระเบีย (ทรูโฟร์ยู)
26 พ.ย. 23.00 น. : ฝรั่งเศส - เดนมาร์ก (ทีสปอร์ต 7)
27 พ.ย. 02.00 น. : อาร์เจนตินา - เม็กซิโก (NBT)
27 พ.ย. 17.00 น. : ญี่ปุ่น - คอสตาริก้า (GMM 25)
27 พ.ย. 20.00 น. : เบลเยียม - โมร็อกโก (9 MCOT)
27 พ.ย. 23.00 น. : โครเอเชีย - แคนาดา (ทรูโฟร์ยู)
28 พ.ย. 02.00 น. : สเปน - เยอรมนี (เนชั่นทีวี)
28 พ.ย. 17.00 น. : แคเมอรูน - เซอร์เบีย (อมรินทร์ทีวี)
28 พ.ย. 20.00 น. : เกาหลีใต้ - กานา (ทรูโฟร์ยู)
28 พ.ย. 23.00 น. : บราซิล - สวิตเซอร์แลนด์ (ONE 31)
29 พ.ย. 02.00 น. : โปรตุเกส - อุรุกวัย (ช่อง 5)
29 พ.ย. 22.00 น. : เอกวาดอร์ - เซเนกัล (ช่อง 8)
29 พ.ย. 22.00 น. : เนเธอร์แลนด์ส - กาตาร์ (ทรูโฟร์ยู)
30 พ.ย. 02.00 น. : อิหร่าน - สหรัฐอเมริกา (GMM 25)
30 พ.ย. 02.00 น. : เวลส์ - อังกฤษ (ทรูโฟร์ยู)
30 พ.ย. 22.00 น. : ตูนิเซีย - ฝรั่งเศส (ทรูโฟร์ยู)
30 พ.ย. 22.00 น. : ออสเตรเลีย - เดนมาร์ก (NBT)
01 ธ.ค. 02.00 น. : โปแลนด์ - อาร์เจนตินา (ทรูโฟร์ยู)
01 ธ.ค. 02.00 น. : ซาอุดิอาระเบีย - เม็กซิโก (MONO 29)
01 ธ.ค. 22.00 น. : โครเอเชีย พบ เบลเยียม (ทรูโฟร์ยู)
01 ธ.ค. 22.00 น. : แคนาดา - โมร็อกโก (TPBS)
02 ธ.ค. 02.00 น. : ญี่ปุ่น - สเปน (ทรูโฟร์ยู)
02 ธ.ค. 02.00 น. : คอสตาริก้า - เยอรมนี (ไทยรัฐทีวี)
02 ธ.ค. 22.00 น. : เกาหลีใต้ - โปรตุเกส (ทรูโฟร์ยู)
02 ธ.ค. 22.00 น. : กานา - อุรุกวัย (เนชั่นทีวี)
03 ธ.ค. 02.00 น. : เซอร์เบีย - สวิตเซอร์แลนด์ (ONE 31)
03 ธ.ค. 02.00 น. : แคเมอรูน - บราซิล (ทรูโฟร์ยู)
03 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
04 ธ.ค. 02.00 น. : (ช่อง 3)
04 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
03 ธ.ค. 02.00 น. : (MONO29)
03 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
06 ธ.ค. 02.00 น. : (ช่อง 8)
06 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
07 ธ.ค. 02.00 น. : (GMM 25)
09 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
10 ธ.ค. 02.00 น. : (JKN18)
10 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
11 ธ.ค. 02.00 น. : (ไทยรัฐทีวี)
14 ธ.ค. 02.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
15 ธ.ค. 02.00 น. : (ONE 31)
17 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู)
18 ธ.ค. 22.00 น. : (ทรูโฟร์ยู / ทีสปอร์ต 7)
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด
[unable to retrieve full-text content]
มะระขี้นก พืชสมุนไพรที่หน้าค้นหา สรรพคุณทางยาก็มากล้น TrueID Womenโดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือ และได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและภริยา เดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยไทยยินดีกับพลวัตทางความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกลับมาดำเนินกิจกรรม และการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน
ด้านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยินดีที่ได้พบนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง การเดินทางครั้งนี้ นอกจากเพื่อเข้าร่วมประชุมเอเปคแล้ว ยังจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ติดตามและสานต่อผลการหารือระหว่างผู้นำทั้งสอง จากที่นายกรัฐมนตรีได้พบกันเมื่อเดือน พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา พร้อมขอบคุณที่ได้สละเวลาให้เข้าพบก่อนที่การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้
สำหรับประเด็นต่างๆ ที่ผู้นำทั้งสองหารือกันมี ดังนี้
ผู้นำทั้งสองต่างยินดีในโอกาสครบรอบ 135 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในปีนี้ และการครบรอบ 10 ปี ของความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ โดยไทยและญี่ปุ่นยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อพัฒนา “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ซึ่งการลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วม ว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ในระยะ 5 ปี จะยิ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านต่อไป
ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไทยและญี่ปุ่นยินดีที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วนกับญี่ปุ่นในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน และส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำ ซึ่งญี่ปุ่นพร้อมพิจารณาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของอาเซียนด้วย ขณะที่ญี่ปุ่นได้เสนอเพิ่มพูนความร่วมมือธุรกิจ startup ของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาขยายการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยเพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว เชื่อมั่นว่าทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้ จะเป็นกำลังสำคัญในภาคอุตสาหกรรมที่สร้างประโยชน์ให้กับไทยและญี่ปุ่นต่อไป
ด้านพลังงาน ไทยและญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำร่วมกัน ผ่านข้อเสนอความร่วมมือด้านพลังงาน (White Paper) ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น และภายใต้ข้อริเริ่ม Asia Zero-Emission Community (AZEC) ของญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียินดีกับการเป็นเจ้าภาพ World Expo 2025 Osaka ของญี่ปุ่น โดยไทยพร้อมสนับสนุนการจัดงานอย่างเต็มที่ เชื่อมั่นว่างานจะประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยไทยหวังจะได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นในการเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ (Specialised Expo) 2028 ที่จังหวัดภูเก็ตเช่นกัน เชื่อมั่นว่าจะเป็นเวทีให้นานาประเทศนำเสนอทางออกและแลกเปลี่ยนความร่วมมือสู่ความยั่งยืน
ความร่วมมือด้านความมั่นคง ยินดีที่ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือด้านการทหาร และการป้องกันประเทศที่ใกล้ชิด เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้านความมั่นคงรูปแบบต่างๆ ทั้งสองฝ่ายยังได้ลงนามความตกลง ว่าด้วยการมอบโอนยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเยือนไทย ซึ่งขณะนี้กระทรวงกลาโหมอยู่ระหว่างการพิจารณาสาขาความร่วมมือ ที่ประสงค์ร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นต่อไป
ด้านประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ ยินดีที่ไทยร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา เพื่อช่วยเหลือประเทศที่สามอย่างต่อเนื่อง ไทยพร้อมสานต่อความร่วมมือกับญี่ปุ่นในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ และเป็นที่ต้องการของประเทศผู้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมบทบาทที่แข็งขัน ในการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และไทย ในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น พร้อมมีบทบาทอย่างแข็งขันเพื่อให้ความร่วมมือและกิจกรรมต่างๆ บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและญี่ปุ่นยังได้ร่วมกันยินดีที่ทั้งสองประเทศมีการหารือ จนมีผลเป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน สามารถพัฒนาและยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” ฉลองครบรอบ 135 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปีนี้ และการครบรอบ 10 ปี ของความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ที่ถือเป็นอีกก้าวสำคัญทางความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลางโหมได้หารือทวิภาคีกับนายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565
โดยผู้นำทั้งสองได้ร่วมประกาศยกระดับความสัมพันธ์จาก “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” (Strategic Partnership) เป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” (Comprehensive Strategic Partnership) เนื่องในโอกาสครบรอบ 135 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนพัฒนาการทางความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ สองฝ่ายได้ร่วมประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่นในระยะ 5 ปี (Five-Year Joint Action Plan on Thailand-Japan Strategic Economic Partnership) ที่ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในช่วงเช้าของวันเดียวกัน โดยผู้นำทั้งสองได้เน้นย้ำแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการร่วมฯ ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ที่มา กระทรวงการต่างประเทศ
สมาชิกวงบอยกรุ๊ปเกาหลี OMEGA X เผยว่า อดีต CEO ของ Spire Entertainment ต้นสังกัดที่เพิ่งลาออกไป เคยมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ และทำร้ายร่างกายสมาชิกจริง
วันที่ 16 พ.ย. สมาชิกวง OMEGA X แจฮัน จองฮุน เซบิน เจฮยอน เควิน ฮวีชาน แทดง ฮยอก เซน ฮันกยอม และ เยชาน พร้อมกับตัวแทนฝ่ายกฎหมาย จัดงานแถลงข่าวเพื่อพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นของการจัดการของต้นสังกัด Spire Entertainment และเหตุผลที่ทำให้พวกเขาขอยื่นฟ้องเพื่อยุติสัญญากับทางค่าย
แจฮัน หัวหน้าวง กล่าวว่า “เหตุผลที่พวกเราอดทนกับความเจ็บปวดและเก็บเงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้ เพราะพวกเรากลัวว่าพวกเราจะเสียโอกาสสุดท้ายในการที่จะประสบความสำเร็จบนถนนสายศิลปิน และพยายามอดทนเพื่อแฟนๆ ที่เชื่อมั่นในตัวพวกเรา สนับสนุนพวกเรา และรอคอยพวกเรามาโดยตลอด การเป็นสมาชิกที่อายุมากที่สุดในวงที่ต้องเห็นเหล่าสมาชิกทนลำบากและเหนื่อยล้ามากๆ มาตลอด ผมกลัวและกังวลว่าความฝันของพวกเราจะมลายหายสิ้นไป ผมอยากปกป้องวง OMEGA X ครับ”
แจฮัน เสริมต่อว่า “พวกเรามาถึงจุดที่เราไม่อาจอดทนในเรื่องนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ถึงทุกคนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม และถึงทุกคนที่มีความฝันเหมือนกัน พวกเราตัดสินใจที่จะรวมตัวกัน (เพื่อพูดถึงเรื่องนี้)”
เมื่อกล่าวถึง คังซองฮี อดีต CEO ของ Spire Entertainment ที่ตอนนี้ลาออกไปแล้วหลังจากมีข่าวตะโกนใส่สมาชิกในวงที่อเมริกา แจฮันเล่าต่อว่า “เธอจับต้นขาพวกเรา จับมือพวกเรา และจับหน้าพวกเรา เธอล่วงละเมิดทางเพศพวกเราเป็นประจำ เธอยังพูดกับพวกเราบ่อยๆ ว่า ‘ถ้ายังอยากทำวง OMEGA X ต่อ เธอก็คลานเข้ามาหาฉันสิ’ ‘ฉันจะฆ่าเธอ’ และคำพูดรุนแรงอื่นๆ เธอทำให้สมาชิกในวงเครียดจนวิตกกังวลด้วยการข่มขู่พวกเราว่าเธอจะฆ่าตัวตาย”
แจฮัน ยังเล่าต่อว่า “หลังจากพวกเราฝึกซ้อมกันเสร็จแล้ว เธอโทรหาผมและบังคับให้ผมดื่ม เธอล่วงละเมิดทางเพศผมด้วยการเอามือลูบหน้าและจับมือ หลังดื่มเสร็จ เธอโทรหาผมผ่าน KakaoTalk และบอกว่าถ้าพวกเราอยากเป็นไอดอลต่อไป พวกเราต้องคลานเข่าไปหาเธอ เธอยังบอกอีกว่าเธอจะฆ่าตัวตาย สมาชิกในวงเลยขอเข้ารับการรักษา (ทางจิตใจจากความเครียด) พวกเราแค่อยากได้รับความเคารพในฐานะมนุษย์ที่รักในเสียงเพลงเท่านั้น”
สมาชิกในวงคนอื่นๆ เผยถึงเรื่องราวและความรู้สึกของเขาเช่นกัน เยชาน เผยว่า ซีอีโอและผู้บริหารค่ายเคยใจดีมาก่อน แต่ค่อยๆ เริ่มแสดงอิทธิพลด้านลบให้กับชีวิตของเขามากขึ้นเรื่อยๆ และยังเคยถูกบังคับให้ดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เยชานกล่าวว่า เหล่าสมาชิกถูกหลอกให้หลงเชื่อพวกเขา
ฮันกยอม ก็เผยว่า ระหว่างงานเลี้ยงอาหารเย็นของบริษัท หากใครไม่ยอมดื่ม ในวันรุ่งขึ้นคนๆ นั้นจะถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา
ทางด้านของ เซบิน เปิดเผยว่า “พวกเขาบอกว่าจะไม่ทำอัลบั้มใหม่ให้ถ้าพวกเราไม่ยอมไปรวมตัวดื่มกับพวกเขา”
สมาชิกในวงล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบทางจิตใจจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ฮันกยอม ระบุว่า เขารู้สึกเครียดและวิตกกังวลอยู่เสมอเมื่อได้รับสายจากคนเมา ทำให้เขาแพนิกกับเสียงต่างๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน เช่น เสียงโทรศัพท์สั่น เสียงนาฬิกาปลุก เสียงเบสในเพลง รวมถึงระหว่างที่คุยตามลำพังกับซีอีโอ เขาจะมีปัญหาหายใจลำบากขึ้นมาทันที
จองฮุน กล่าวว่า “พวกเราไม่เคยได้รับคำขอโทษอย่างจริงใจเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น (ที่อเมริกา) แถมยังพูดถึงเรื่องการเข้ากรม ข่มขู่พวกเราด้วยการส่งใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายที่ไร้สาระ พวกเราเลยมาถึงจุดที่พวกเราไม่สามารถพูดคุยกับพวกเขาได้อีกแล้ว”
อย่างไรก็ตาม สมาชิก OMEGA X ขอบคุณแฟนๆ ที่ยังคงอยู่กับพวกเขาเสมอ พวกเขาให้สัญญาว่าจะตั้งใจทำงานเพลงและทำการแสดงที่ดียิ่งขึ้น พวกเขาจะยังคงไล่ตามความฝันในการเป็นศิลปินด้วยกันต่อไป และจะต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อขอใช้ชื่อวง OMEGA X และชื่อแฟนคลับ FOR X เหมือนเดิม
"ผบ.ทร." ตรวจความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยทางน้ำ แก่ผู้เข้าร่วมการประชุมเอเปก 2022 พร้อมชมการสาธิตการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 15 พ.ย. 65 พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร. พร้อมด้วย พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสธ.ทร. เดินทางตรวจความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อผู้นำเขตเศรษฐกิจ ที่เข้าร่วมประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) หรือเอเปก 2022 (APEC 2022) พร้อมชมการสาธิตการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ การส่งกลับสายแพทย์ทางบกและทางน้ำ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายฉุกเฉินทางน้ำ ซึ่งเป็นการบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า ตำรวจน้ำ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร
การเมืองท่ามกลางสัญญาณการจัดทัพรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหว 2 ป.ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ซึ่งมีรายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่น้อง 2 ป.ได้มีการนัดเคลียร์ใจ พร้อมพูดคุยถึงทิศทางทางการเมือง รวมถึงเรื่องส่วนตัว
ทั้งนี้มีรายงานว่า ในการพูดคุยช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ถาม พล.อ.ประวิตร ว่า “ผมเหลือเวลาอีกไม่นาน พี่จะเอาอย่างไร”
โดย พล.อ.ประวิตรให้คำตอบว่า ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร.
ขณะที่ความเคลื่อนไหวในพปชร. ล่าสุด ส.ส.ยังคงมีความสับสน ถึงความไม่ชัดเจนของ 2 ป. โดยมีข้อกังขาว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาอยู่ในฐานะอะไร เพราะก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไปร่วมงานพรรครวมไทยสร้างชาติ และจะถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวพรรคร่วมไทยสร้างชาติ ล่าสุด ยังคงเดินหน้าฟอร์มทีม โดยแกนนำพรรค ทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ได้หารือกับ บิ๊กทหารคนดัง นักธุรกิจสายการธนาคาร รวมถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส.ถึงการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ภายใต้เงื่อนไขมี ส.ส.ทั้งเขต และปาร์ตี้ลิสต์เกิน 25 คน ตามบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอชื่อนายกฯ
ขณะเดียวกันยังมีการพูดถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีวาระดำรงตำแหน่งเหลือแค่ 2 ปีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีการพูดถึงชื่อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในการจับมือกันตั้งรัฐบาล เพื่อรวบรวมเสียงเกิน 100 โดยเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ 2 ปีแรก ส่วน 2 ปีหลัง อาจเสนอชื่อนายอนุทิน
ขณะเดียวกัน มีรายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะหลังการประชุมเอเปก อาจมีการตัดสินใจทิศทางการเมืองหลังจากนั้น
[unable to retrieve full-text content]
DMT กำไร Q3 พุ่งกระฉูด 407% รายได้ค่าผ่านทางพุ่ง เคาะปันผล 15 สต. - Hoonsmart https://ift.tt/xd8rPagวันที่ 14 พ.ย. รอยเตอร์ รายงานว่า ฝนตกหนักที่ทำให้ น้ำท่วมฉับพลัน ตัดขาดหลายเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย เมื่อวันจันทร์ที่ 14 พ.ย. พร้อมประกาศเตือนอพยพครั้งใหม่สำหรับชาวบ้านนับพันคน
อุทกภัยครั้งใหญ่ครั้งที่สี่ของออสเตรเลียปีนี้ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวนในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ และทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐวิกตอเรียในชั่วข้ามคืน ทำให้ริมฝั่งแม่น้ำเอ่อล้น และสร้างความเจ็บปวดแก่ชาวเมืองที่เบื่อหน่ายน้ำท่วมมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลแบนีส ระบุในทวิตเตอร์ว่า น้ำท่วมฉับพลันกำลังสร้างสภาพที่อันตราย และรัฐบาลกลางกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐต่างๆ ในความพยายามช่วยเหลือ
ขณะที่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ถนน สะพาน และฟาร์ม จมใต้น้ำ โดยเมืองโมลอง ห่างจากซิดนีย์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 300 กิโลเมตร และมีบ้านมากกว่า 2,000 หลัง เป็นหนึ่งในหลายเมืองที่เผชิญน้ำท่วมหนัก วิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์เผยให้เห็นตู้คอนเทนเนอร์ใบหนึ่งและข้าวของในครัวเรือนลอยน้ำลงมากลางเมือง
ส่วนผู้อยู่อาศัยในเมืองยูโกวรา ประชากรราว 800 คน ได้รับคำสั่งย้ายไปที่สูงหลังเจ้าหน้าที่เห็นว่าการอพยพจะไม่ปลอดภัยเนื่องจากน้ำท่วมฉับพลัน ส่วน
ทั้งนี้ ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียกำลังประสบกับปรากฏการณ์สภาพอากาศลานีญาที่หายากเป็นปีที่สามติดต่อกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น
ขณะนี้มีคำเตือนเกี่ยวกับน้ำท่วมมากกว่า 100 ครั้งทั่วรัฐนิวเซาท์เวลส์ และ 84 ครั้งในรัฐวิกตอเรีย หลังข้อมูลของสำนักพยากรณ์อากาศระบุว่า พื้นที่บางแห่งได้รับปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1 เดือนตลอด 24 ชั่วโมง
นายทิม วีบุช หัวหน้าปฏิบัติการฉุกเฉินรัฐวิกตอเรีย บอกสถานีโทรทัศน์เอบีซีว่า “เราเห็นน้ำท่วมฉับพลันหลายครั้งที่ถนนจมใต้น้ำ เรามีน้ำเข้าบ้านแล้ว … น้ำลึกถึงข้อเท้าในบางพื้นที่”
ฝนตกหนักและพายุฝนฟ้าคะนองยังกระทบรัฐเซาท์ออสเตรเลียในช่วงสุดสัปดาห์ โรงเรียนหลายสิบแห่งถูกบังคับปิดการเรียนการสอน ขณะที่บ้านหลายพันหลังยังไม่มีไฟฟ้าใช้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
น้ำท่วมฉับพลันใน ออสเตรเลีย – รัฐควีนส์แลนด์มีฝนสูง 50 เซนติเมตร
'ควายปลักทะเลน้อย' จ.พัทลุง ได้รับการประกาศจาก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ให้ ‘การเลี้ยงควายปลักและระบบนิเวศในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จ.พัทลุง’ เป็น ‘พื้นที่มรดกโลกทางการเกษตร’ แห่งแรกของไทยแล้ว
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโรม ได้รับแจ้งจากนาย Yoshihide ENDO ฝ่ายเลขานุการมรดกโลกทางการเกษตรว่า
ข้อเสนอโครงการ ‘การเลี้ยงควายปลักและระบบนิเวศในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จ.พัทลุง’ (Thale Noi Wetland Pastoral Buffalo Agro-ecosystem of Thailand) ได้ผ่านความเห็นชอบจากกรรมการที่ปรึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Advisory Group: SAG) ของ FAO
ประกาศเป็น ‘พื้นที่มรดกโลกทางการเกษตร’ (Global Important Agricultural Heritage Systems หรือ GIAHS) ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) แล้ว นับเป็นพื้นที่มรดกโลกทางการเกษตรแห่งแรกของประเทศไทย
Cr. จรูญ ทองนวล
ข้อเสนอการขึ้นทะเบียน (GIAHS Proposal) กำหนดหลักเกณฑ์เป็นมรดกทางการเกษตรโลก ต้องมีองค์ประกอบครบ 5 ข้อ ได้แก่
1) ความมั่นคงด้านอาหาร/ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
2) ความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร
3) ระบบความรู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีมาแต่ดั้งเดิม
4) วัฒนธรรม ระบบคุณค่า และองค์กรทางสังคม
5) ลักษณะภูมิทัศน์/และภูมิทัศน์ทางทะเล
Cr. จรูญ ทองนวล
วันที่ 4-8 ตุลาคม 2565 Prof. Zekri Slim ชาวอิสราเอล ผู้แทนคณะกรรมการ SAG เดินทางมาตรวจสอบพื้นที่จริงในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย
และได้เสนอแนะให้ประเทศไทยแก้ไขเอกสาร ก่อนยื่นข้อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาในวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2565 เขากล่าวว่า
"รู้สึกยินดีที่จะได้สนับสนุน ได้เห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนให้ความสำคัญในการเลี้ยงควายปลัก โดยการขึ้นทะเบียนระบบมรดกทางการเกษตรของโลก (GIAHS) จะมีประโยชน์หลายด้าน
มีจุดประสงค์ให้ประชาชนรุ่นหลังได้เห็นความสวยงานและวิถีชีวิตในธรรมชาติของสัตว์ป่าที่พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย และเป็นการอนุรักษ์การเกษตร การเลี้ยงควายปลัก และผลิตภัณฑ์ในพื้นที่"
หลังการประกาศให้ ‘การเลี้ยงควายปลักและระบบนิเวศในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จ.พัทลุง’ เป็น ‘พื้นที่มรดกโลกทางการเกษตร’ แห่งแรกของไทยแล้ว
Cr. จรูญ ทองนวล
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า
"การขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางการเกษตรในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ ที่ต้องการอนุรักษ์แนวทางการทำการเกษตรที่มีมาแต่ดั้งเดิม เพื่อส่งต่อทรัพยากรให้แก่คนรุ่นถัดไป
โดยมีเป้าหมายรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืน เป็นแหล่งวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์การเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้คนในชุมชน
โดย GIAHS เน้นให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ ชุมชนจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
การขึ้นทะเบียนในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จะไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ แต่ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตในชุมชน ทำให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต และเพิ่มการจ้างงานในพื้นที่"
Cr. Supasek Opitakon
ทะเลน้อยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากจนได้รับการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ชุ่มน้ำโลก หรือ Ramsar site เมื่อปี พ.ศ. 2541 และมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ FAO
ชาวบ้านทะเลน้อย จ. พัทลุง สืบทอดการเลี้ยงควายในพื้นที่แห่งนี้มานานกว่า 250 ปี ปล่อยออกไปให้กินหญ้าเอง ในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำขึ้นสูงนานหลายเดือน ทุ่งหญ้าจมอยู่ใต้น้ำ
ควายก็ต้องปรับตัวว่ายน้ำไประยะทางไกล ๆ ดำน้ำลงไปกินหญ้าใต้น้ำนั้น จนมันสามารถดำน้ำได้นานหลายนาที ส่วนลูกควายก็ดำลงไปทั้งตัว ชาวบ้านได้เห็นจึงเรียกว่า ‘ควายน้ำ’
ควายน้ำผสมพันธุ์กันเอง จนมีประชากรเพิ่มมากขึ้น มีวิถีชีวิตคล้ายควายป่า มีจ่าฝูงพาฝูงออกจากคอกไปหากินในตอนเช้า แล้วกลับเข้าคอกในตอนเย็น ปัจจุบัน มีควายน้ำประมาณ 3,500 ตัว
...........
อ้างอิง : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพัทลุง
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ม.ธรรมศาสตร์ แนะ ควรให้ ‘อำนาจสั่งการ’ คกก.อากาศสะอาด ดำเนินมาตรการข้ามหน่วยงาน พร้อม ‘บูรณาการงบประมาณ’ ตามภารกิจ...