Rechercher dans ce blog

Wednesday, March 31, 2021

สรุปหุ้นเด่นทางเทคนิค (01/04/64) - efinanceThai

[unable to retrieve full-text content]

สรุปหุ้นเด่นทางเทคนิค (01/04/64)  efinanceThai
สรุปหุ้นเด่นทางเทคนิค (01/04/64) - efinanceThai
Read More

ทางมืดทางโค้งต้องชะลอด่วน วันเดียว'ตายคาที่'38ศพ - เดลีนีวส์


อุบัติเหตุในช่วงวันที่ผ่านมา เพื่อเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์

อุบัติเหตุรถจยย.ชนขอบทางต่างระดับบางขันทำให้ร่างผู้ขับขี่กระเด็นตกลงไปด้านล่างเสียชีวิต บนต่างระดับบางขัน(ขึ้นจากถนนพหลโยธินขาออกลงหน้าตลาดบางขัน) ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ช่วงทางโค้งบนต่างระดับบางขันพบรถจยย.ยี่ห้อฮอยด้ารุ่นโซนิคสีฟ้าทะเบียน ลธค942 กรุงเทพมหานคร พลิกคว่ำอยู่ โดยที่หน้ากากหน้ารถฝั่งขวาและกระจกไม่ร่องรอยแตกหักได้รับความเสียหาย ที่ขอบทางพบร่องรอยชุดสีรถจยย.ขูดเป็นทางยาว  

"เฉพาะเมื่อวานนี้ (31 มี.ค.) มียอดคนตายคาที่ ณ จุดเกิดเหตุ 38 ศพ" สำหรับตัวเลขที่ได้รับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการในแต่ละวันนั้น มาจากเครือข่ายที่อยู่ทั่วประเทศ ซึ่งบางพื้นที่บางสถานีจะหยุดทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้ต้องมาแจ้งรวมกันในวันอังคาร แต่สุดท้ายยอดรวมจะตรงกันหรือใกล้เคียงกัน จึงกลายมาเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ


 
"นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ" ให้ข้อมูลที่น่าสนใจกับ "เดลินิวส์ออนไลน์" ถึงตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการจากการรวบรวมของมูลนิธิฯ ที่ร่วมมือกับเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศ เกี่ยวกับยอดการตาย ณ จุดเกิดเหตุ อันเกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วประเทศ เพราะทุกวันนี้ยังมีคนตายบนท้องถนนตลอด 365 วัน โดยปี 2562 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.62 มียอดตายรวม 14,907 ศพ ขณะที่ปี 2563 วันที่ 1-31 ธ.ค.63 มียอดตายรวม 14,825 ศพ และยอดสะสมวันที่ 1 มี.ค.-31 มี.ค.64 มีผู้เสียชีวิต 1,493 คน, วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.64 มีผู้เสียชีวิต 3,986 ศพ ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วยอดสะสม 3,991 ศพ.

Let's block ads! (Why?)


ทางมืดทางโค้งต้องชะลอด่วน วันเดียว'ตายคาที่'38ศพ - เดลีนีวส์
Read More

เหลื่อมล้ำทางเพศขยายวง-โควิดซ้ำเติมปัญหาเอเชีย - กรุงเทพธุรกิจ

1 เมษายน 2564

0

เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (ดับเบิลยูอีเอฟ)เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ที่บ่งชี้ว่าการระบาดของโรคโควิด-19 กำลังทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศทั่วเอเชียมีมากขึ้น ส่งสัญญาณว่าช่องว่างที่ขยายตัวขึ้นระหว่างเพศหญิงและเพศชายกำลังเป็นปัญหาสำคัญ

ดับเบิลยูอีเอฟ เผยแพร่รายงาน"Global Gender Gap Report 2021"เมื่อวันพุธ(31 มี.ค.)ซึ่งติดตามความคืบหน้าเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสุขภาพ คาดการณ์ว่า ขณะนี้ทั่วโลกต้องใช้เวลา 135 ปีจึงจะประสบความสำเร็จในการทำให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริง เทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19ที่คาดว่าใช้เวลา 99 ปี

“การระบาดของโควิด-19 มีแนวโน้มส่งผลกระทบรุนแรงต่อโอกาสทางเศรษฐกิจของผู้หญิง การกลับมาทำงานใหม่เสี่ยงได้ตำแหน่งงานต่ำกว่าเดิมแล้วรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง นโยบายเยียวยาและการปฏิบัติที่เอื้อต่อความเสมอภาคทางเพศ สามารถแก้ไขความท้าทายเหล่านั้นได้”

ดับเบิลยูอีเอฟ ระบุว่า ในช่วงที่โควิดระบาด ผู้หญิงตกงานในอัตราสูงขึ้นได้รับการว่าจ้างกลับมาทำงานใหม่ช้าลง ทั้งยังต้องรับผิดชอบงานบ้านและดูแลเด็ก

รายงานเตือนด้วยว่า แม้พ้นช่วงโควิดระบาดแล้วความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างหญิงและชายอาจเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากสัดส่วนผู้หญิงในงานแห่งอนาคตหลายงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ เช่น งานด้านคลาวด์คอมพิวติงและวิศวกรรม

อันดับของอินเดียร่วงลงมากกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ตกลง 28 อันดับมาอยู่ที่ 140 ใน 156 ประเทศ คะแนนของอินเดียลดลง 3 ใน 4 เกณฑ์ แต่ที่เสื่อมถอยมากที่สุดคือการเพิ่มอำนาจให้ผู้หญิงในทางการเมือง เนื่องจากสัดส่วนรัฐมนตรีหญิงลดลงจาก23% เหลือ 9%

การมีส่วนร่วมของแรงงานหญิงในอินเดียยังล้าหลังเช่นกัน ผู้หญิงอยู่ในตลาดแรงงานเพียง 22.3% เท่านั้น ในแง่สุขภาพและการอยู่รอด อินเดียติดกลุ่ม 5 ประเทศสุดท้ายของโลก เนื่องจากอัตราส่วนทารกเพศหญิงและชายไม่สมดุล และอายุขัยที่เหลือโดยที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ในระดับต่ำ

อินเดียไม่ใช่ประเทศเดียวที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วอินโดนีเซีย ร่วง 16 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 101 ส่วนใหญ่เนื่องมาจากโอกาสและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจเหลื่อมล้ำมากขึ้นสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งระดับสูงลดลงครึ่งหนึ่งจาก 54.9% เหลือ 29.8% ในเวลาเพียงปีเดียว

ขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อันดับดีขึ้นโดยญี่ปุ่น ดีขึ้น1อันดับ อยู่อันดับที่ 120ส่วนเกาหลีใต้ดีขึ้น 6อันดับมาอยู่อันดับที่ 102 หลังจากผู้หญิงเข้าไปนั่งในสภาและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมากขึ้น

Let's block ads! (Why?)


เหลื่อมล้ำทางเพศขยายวง-โควิดซ้ำเติมปัญหาเอเชีย - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

กรมการขนส่งทางบก ขยายระยะเวลาขอต่ออายุใบขับขี่ 3 เป็น 6 เดือน เริ่ม 1 เม.ย.นี้ - มติชน

กรมการขนส่งทางบก ขยายระยะเวลาขอต่ออายุใบขับขี่ 3 เป็น 6 เดือน เริ่ม 1 เม.ย.นี้

กรมการขนส่งทางบก ขยายระยะเวลาต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ และใบอนุญาตขับรถสาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ สามารถต่ออายุล่วงหน้าได้ไม่เกิน 6 เดือน เริ่ม 1 เม.ย.นี้

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า  ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบก ขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลและใบอนุญาตขับรถสาธารณะ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ทุกประเภท ประกอบด้วย ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ใบอนุญาตขับรถบดถนน ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์ ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ

ให้สามารถยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ก่อนใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุไม่เกิน 6 เดือน จากเดิมกำหนดไว้เพียง 3 เดือน

เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ครอบครองใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลและใบอนุญาตขับรถสาธารณะมีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการให้บริการประชาชน รวมถึงได้นำระบบอบรมออนไลน์ e-Learning เข้ามาช่วยลดขั้นตอนแล้ว ทว่ายังไม่สามารถรองรับความต้องการใช้บริการของประชาชนได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันกรมการขนส่งทางบกได้แก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มระยะเวลาดำเนินการให้มากขึ้น จาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน

ซึ่งเป็นการเพิ่มประโยชน์และขยายโอกาสให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถมีเวลาในการดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถมากขึ้น พร้อมขยายระยะเวลารับรองผลการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com จากเดิมมีอายุรับรอง 90 วัน เป็น 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรมให้สอดคล้องกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถสามารถดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการต่อใบอนุญาตขับรถ สามารถเลือกอบรม e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยตนเองจากสถานที่ใดก็ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการอบรมทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป

นอกจากจะเป็นการลดขั้นตอนและระยะเวลาการมาติดต่อกับทางราชการของประชาชนแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนในห้องอบรมเป็นระยะเวลานาน สอดคล้องตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยได้ขยายระยะเวลารับรองผลการอบรมออนไลน์ให้มีอายุ 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรม ทั้งนี้ ขอให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถทุกประเภทตรวจสอบวันสิ้นอายุใบอนุญาต เพื่อวางแผนการดำเนินการต่ออายุให้เรียบร้อยก่อนวันสิ้นอายุ

โดยผู้ต้องการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถขอให้จองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ดาวน์โหลดฟรี iOS: https://apple.co/2GIHARd แอนดรอยด์: http://bit.ly/2IkLpyO หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ของกรมการขนส่งทางบก

Let's block ads! (Why?)


กรมการขนส่งทางบก ขยายระยะเวลาขอต่ออายุใบขับขี่ 3 เป็น 6 เดือน เริ่ม 1 เม.ย.นี้ - มติชน
Read More

ทำความรู้จักกับ DEFI บริการทางการเงินรูปแบบใหม่บนบล็อกเชน - efinanceThai

ทำความรู้จักกับ DEFI บริการทางการเงินรูปแบบใหม่บนบล็อกเชน

บทความโดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด


ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการเงินอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็คือเทคโนโลยีบล็อกเชน เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ที่สถาบันการเงินใช้ลดหรือรวบขั้นตอนดำเนินการ ส่งผลให้ต้นทุนของธุรกรรมต่างๆ ลดลง บริการได้รวดเร็วและมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังเป็นพื้นฐานสำคัญของคริปโทเคอร์เรนซีเช่น บิตคอยน์


หลังจากการเกิดขึ้นของบิตคอยน์ ในปี ?2008 ทำให้นักพัฒนาตื่นตัว และมองหาหนทางในการนำเอาบล็อกเชนมาใช้ นอกเหนือไปจากการจัดเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมการส่งมูลค่าแล้ว
ฝั่งของเหรียญ ETH ซึ่งได้ก้าวมาเป็นเหรียญคริปโทฯ ที่มีขนาดตามมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ก็ได้ใช้คุณสมบัติของบล็อกเชนไปในการบันทึกสัญญา การทำธุรกรรมระหว่างกัน หรือที่เรียกว่า Smartcontract ขึ้นมา เพื่อให้นักพัฒนาสามารถต่อยอดสร้างโปรแกรมบนบล็อกเชนของ Ethereum ได้ ในปัจจุบัน Ethereum นั้นเป็น Blockchain ที่สามารถเขียนโปรแกรมบนนั้นได้ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกด้วย

 

Decentralized Finance (DeFi) คืออะไร?


Decentralized Finance (DeFi) คือแนวคิดของรูปแบบการให้บริการทางการเงินบนระบบบล็อกเชน เพื่อประโยชน์ของการบันทึกและดำเนินธุรกรรมอย่างอัตโนมัติ และไม่ต้องอาศัยตัวกลางมาดำเนินการแทนอย่างเช่นระบบการเงินรูปแบบดั้งเดิมซึ่งต้องอาศัยธนาคารเข้ามาเกี่ยวข้อง
 

DeFi เกือบทั้งหมดในปัจจุบันนั้นถูกสร้างขึ้นและใช้งานอยู่บน blockchain ของ Ethereum โดยมี Smartcontract หรือ สัญญาอัจฉริยะ ที่ทำหน้าที่ผูกพันข้อตกลงระหว่างฝ่ายต่างๆ และ บังคับใช้ให้เกิดผลลัพธ์ตามกติกาที่ได้ตกลงกันไว้
 

จุดเด่นของการสร้างบริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลางเช่นนี้ คือ ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะได้รับการยืนยันความถูกต้องและบันทึกลงในระบบ และการกระจายข้อมูลบันทึกธุรกรรมที่เกิดขึ้นไปยังผู้ใช้งานในระบบ ทำให้การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ยาก ผู้ใช้งานทุกคนสามารถเข้าไปตรวจสอบโค้ด Smart Contract เพื่อตรวจสอบขึ้นตอนการดำเนินงาน และความโปร่งใสของระบบได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นข้อดีของระบบบล็อกเชนนั่นเอง
 

บริการของ DeFi ในวันนี้


เรียกได้ว่าตอนนี้ผู้พัฒนาบริการทางการเงินไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นรายเดิมอย่างธนาคาร หรือ ผู้เล่นรายใหม่ที่ต้องการเข้ามาสร้างบริการทางการเงินในรูปแบบของ DeFi นั้นส่งผลให้ Application DeFi นั้นเกิดขึ้นแทบทุกวัน และมีรูปแบบคล้ายๆ กับบริการทางการเงินที่มีอยู่เดิม เพียงแต่มาทำงานอยู่บน Blockchain แทน ตัวอย่าง Application DeFi ที่ได้รับความนิยมและการสร้างรายได้จากระบบ
 

“Decentralized Exchange” ซึ่งให้บริการรับแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี่ โดยที่ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องฝากเหรียญทิ้งไว้ที่ Platform ของผู้ให้บริการอีกต่อไป เพียงแค่เชื่อมต่อ Wallet ของผู้ใช้เข้ากับระบบก็สามารถทำการแลกเปลี่ยนเหรียญและได้รับเหรียญกลับเข้ามาใน Wallet ทันที เหมือนกับการที่เราไปแลกเงินที่ SuperRich นั่นเอง


นอกจากนี้ ระบบยังเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามาเป็นส่วนร่วมของระบบได้ในรูปแบบของผู้ให้สภาพคล่องของระบบ และได้รับส่วนแบ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมเมื่อมีผู้มาใช้บริการแลกเปลี่ยนเหรียญเกิดขึ้น


“Lending” บริการโรงรับจำนำในโลก DeFi เป็นระบบซึ่งให้บริการกู้ยืมเงิน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเป็นได้ทั้งผู้กู้ หรือ ผู้ให้กู้ยืม เพียงแค่นำเหรียญคริปโทฯ ที่ตนเองมีอยู่แล้วมาวางเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันและแลกเหรียญสกุลอื่นที่ต้องการออกไป หรือ นำเหรียญที่ตนเองมีมาวางให้คนอื่นกู้ยืม และรับรายได้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นได้เหมือนเป็นเจ้าของโรงรับจำนำด้วยตนเอง


ระบบต่างๆ ที่ได้ยกตัวอย่างมาด้านบนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริการทางการเงินที่เกิดขึ้นในโลกของ DeFi ในวันนี้ และเป็นช่องทางที่เปิดกว้างให้ผู้ที่สนใจสามารถสร้างรายได้จากการเป็นส่วนหนึ่งของระบบและถูกดำเนินการอย่างอัตโนมัติตามที่ Smartcontract ได้กำหนดไว้ อย่างที่ระบบการเงินแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการรายย่อยได้เลย


 

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม


Let's block ads! (Why?)


ทำความรู้จักกับ DEFI บริการทางการเงินรูปแบบใหม่บนบล็อกเชน - efinanceThai
Read More

รู้ไว้ไตแข็งแรง! สวทช.ชู 'เครื่องล้างไต' ทางช่องท้องอัตโนมัติ ชงสู่เชิงพาณิชย์ - กรุงเทพธุรกิจ

31 มีนาคม 2564

64

นักวิจัย สวทช.พัฒนา “เครื่องล้างไตทางช่องท้องอัตโนมัติ” ช่วยให้ผู้ป่วยล้างไตใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ใช้ได้ทุกเวลารวมถึงเวลานอน ตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายผู้ป่วยล้างไตสอดรับนโยบาย สปสช.

รู้ไว้ไตแข็งแรง

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานการประชุมวิชาการประจำปี หรือ NAC 2021 ในรูปแบบออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “30 ปี สวทช. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ผ่านทางเว็บไซต์ www.nstda.or.th/nac ที่มีการสัมมนาในหัวข้อ “รู้ไว้ไตแข็งแรง ป้องกันและรับมือโรคไตเรื้อรังอย่างถูกวิธี” 

161711445044

โดย ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ นักวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ หรือ A-MED  สวทช. เปิดเผยในการสัมมนาว่า ทีมวิจัยเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่จำเป็นต้องมีการล้างไตหรือการฟอกเลือด ซึ่งมีข้อจำกัดคือต้องเดินทางไปยังสถานพยาบาลและใช้ระยะเวลาในการล้างไตเป็นเวลานาน

จึงเริ่มโครงการ “พัฒนาเครื่องล้างไตทางช่องท้องอัตโนมัติ” (Automated Peritoneal Dialysis Machine) มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เครื่องล้างไตมีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการใช้งานได้มากขึ้น

เพิ่มประสิทธิภาพการล้างไต

การล้างไตทางช่องท้องเดิมผู้ป่วยต้องล้างไตวันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งอาจไม่ได้รับความสะดวก เครื่องล้างไตทางช่องท้องอัตโนมัติที่ทีมวิจัย สวทช. พัฒนามีระบบควบคุมการแลกเปลี่ยนน้ำยาล้างไตแบบอัตโนมัติ สามารถทำงานอัตโนมัติในตอนกลางคืนในช่วงระหว่างนอนได้ โดยผู้ป่วยต่อสายเพียงครั้งเดียวก่อนนอน ทำให้ล้างไตได้สะดวกยิ่งขึ้นและสามารถใช้เวลาช่วงกลางวันในการเรียนหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้

ดร.เดโช ระบุว่า ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาเครื่องล้างไตทางช่องท้องอัตโนมัติเป็นรุ่นที่ 3 เพื่อขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.  โดยเป็นการพัฒนาต่อยอดจากเครื่องรุ่นที่ 2 ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องล้างไตทางช่องท้องจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และผ่านการทดลองในคนระดับนำร่องซึ่งร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

161711446145

โดยเครื่องรุ่นที่ 3 นี้ได้มีการพัฒนาเพิ่มเติมให้มีระบบนำส่งและระบายน้ำยาที่มีประสิทธิภาพและมีระบบควบคุมอุณหภูมิน้ำยาล้างไต รวมถึงเพิ่มการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือและระบบออนไลน์สามารถรายงานผลไปยังแพทย์ได้ทันที โดยทีมวิจัยพร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงเครื่องล้างไตแบบอัตโนมัติได้มากที่สุด

ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังร้อยละ 17.5 ของประชากร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (ESRD) อย่างน้อย 200,000 บาทต่อคนต่อปี ที่ผ่านมาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ได้ดำเนินนโยบายล้างไตผ่านช่องท้องเป็นทางเลือกแรก (PD First) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 ปัจจุบัน สปสช.อยู่ระหว่างดำเนินโครงการนำร่องทดสอบการใช้เครื่องล้างไตทางช่องท้องอัตโนมัติ (APD) มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยที่ต้องล้างไตมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับการล้างไตทางช่องท้องแบบเดิม คาดว่าในอนาคตจะมีความต้องการใช้เครื่องล้างไตทางช่องท้องแบบอัตโนมัติมากขึ้น

Let's block ads! (Why?)


รู้ไว้ไตแข็งแรง! สวทช.ชู 'เครื่องล้างไต' ทางช่องท้องอัตโนมัติ ชงสู่เชิงพาณิชย์ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

เปิดตัว “คู่มือดูแลเด็กหลากหลายทางเพศ” ครั้งแรกในประเทศไทย - ประชาชาติธุรกิจ

QR Code LINE@ Prachachat

ไม่พลาดข่าวสำคัญ เจาะลึกทุกประเด็น
เพิ่มเราเป็นเพื่อนทาง @prachachat

ติดตามข่าวธุรกิจ

Let's block ads! (Why?)


เปิดตัว “คู่มือดูแลเด็กหลากหลายทางเพศ” ครั้งแรกในประเทศไทย - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

กะเหรี่ยง KNU แถลงการณ์ประณามทหารเมียนมา โจมตีทางอากาศ ทำชาวกะเหรี่ยงดับ 3 บาดเจ็บอื้อ - มติชน

กะเหรี่ยง KNU แถลงการณ์ประณามทหารเมียนมา โจมตีทางอากาศ ทำชาวกะเหรี่ยงดับ 3 บาดเจ็บอื้อ

เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KBU เขตมือตรอ รัฐกะเหรี่ยง (กอทูเล) ออกหนังสือแถลงการณ์ของเขตมือตรอ กองพลที่ 5 ต่อสาธารณชน เกี่ยวกับการโจมตีทางอากาศร้ายแรงต่อพลเรือนชาวกะเหรี่ยงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีพลเรือนชาวกะเหรี่ยง ที่บ้านเดปู่โหน่ เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บอีก 8 คน ทำให้พลเรือนชาวกะเหรี่ยงทั้งหมด ประมาณ 10,000 กว่าคน พยายามหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย

เรากังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงของพลเรือนของเรา เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ร้ายแรงเหล่านี้ที่เกิดขึ้นโดย กองทัพของรัฐบาลทหารนอกกฎหมาย เพื่อปกป้องดินแดนของเราชาวกะเหรี่ยง และสิทธิการตัดสินใจด้วยตนเองของพวกเขา เราขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้งรัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือและความคุ้มครองด้านมนุษยธรรมที่จําเป็นแก่ประชาชนของเรา ที่หลบหนีจากการโจมตีของทหารเมียนมาในเวลานี้

เราขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศอย่าให้การยอมรับรัฐบาลทหารนอกกฎหมายนี้และตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับพวกเขา รวมถึงความสัมพันธ์ทางทหารและเศรษฐกิจ ประชาคมระหว่างประเทศควรกดดันให้ทหารเมียนมาฟาสซิสต์ยุติการใช้อาวุธทางทหารต่อพลเรือนโดยทันทีซึ่งถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

การออกแถลงการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังมีกระแสข่าว กรณีทางการไทยได้ทำการผลักดันผู้อพยพ ที่หลบหนีภัยสงครามเข้ามาในไทย ให้กลับสู่เมียนมา ในขณะที่ยังคงมีการสู้รบระหว่างทหารกะเหรี่ยงกับทหารเมียนมา อย่างต่อเนื่อง

ในแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า แม้จะมีขอตกลงหยุดยิงทั่วประเทศในเมียนมา (NCA) แต่กองทัพเมียนมาได้ขยายกําลังทหารในดินแดนกะเหรี่ยงหลายแห่ง เป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวและการพลัดถิ่น นอกจากนั้น ทหารเมียนมายังเดินหน้าก่อสร้างถนนและส่งกองกำลังทหารเพิ่มเข้ามาในรัฐกะเหรี่ยงอย่างต่อเนื่อง

นางจันทร์ดี ไม่มีชื่อสกุล อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 166 บ้านแม่สามแลบ หมู่ 1 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านพากันกังวลต่อสถานการณ์ตามแนวชายแดนที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เรื่องข้าวสาร จนถึงการสู้รบตรงข้ามบ้านแม่สามแลบ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยฝั่งเมียนมามีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้น จากนั้นมีเสียงเครื่องบิน บินวนเวียนในเขตเมียนมาเสียงดังมาก และได้ทราบข่าวว่ามีการใช้เครื่องบินโจมตีหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยง ในเมียนมายิ่งทำให้ทุกคนหวาดกลัว ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้พ่อค้าแม่ค้าในหมู่บ้านพากันปิดร้านและหนีไปอาศัยที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ส่วนในเรื่องของผู้ลี้ภัยอยากให้ทางการไทยให้การดูแลและช่วยเหลือคนเหล่านั้น เนื่องจากเขาได้รับความลำบากภายใต้การสู้รบและถูกลูกหลงทำให้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกส่งมารักษาตัวในไทย

ในวันเดียวกัน นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เดินทางไปตรวจพื้นที่เตรียมรองรับผู้ลี้ภัย ที่บ้านแม่สามแลบ โดยทางหน่วยทหารพรานที่ประจำจุดตรวจ แจ้งว่าไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามเข้าไปทำข่าวเด็ดขาด เนื่องจากหน่วยเหนือกำชับมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับที่หมู่บ้านแม่สามแลบ พบว่าได้มีสื่อมวลชนจากสำนักข่าวต่างประเทศและไทย เดินทางไปปักหลักรอทำข่าวอย่างเนืองแน่น สร้างความแปลกใจให้กับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เป็นอย่างมาก

ส่วนราษฎรไทยในพื้นที่ตามตะเข็บชายแดน อ.สบเมย และ อ.แม่สะเรียง ยังคงมีความวิตกกังวล ต่อสถานการณ์ตามแนวชายแดน ที่ยังคงมีข่าวการสู้รบระหว่างทหารเมียนมากับทหารกะเหรี่ยง รวมไปถึงการเห็นพลเรือนของชาวกะเหรี่ยงที่ถูกส่งเข้ามารักษาตัวในไทย และมองว่าการผลักดันผู้อพยพกลับเมียนมา เหมือนการผลักดันคนเหล่านั้นกลับไปสู่ความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 เวลา 09.00 น.เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย ได้ส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง จำนวน 56 คน ที่หลบหนีจากรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา เข้ามาอาศัยอยู่ที่ อุทยานแห่งชาติสาละวิน บ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ในการส่งกลับผู้ลี้ภัยกลุ่มล่าสุด ทางการไทยรับปากว่า จะส่งยาและเวชภัณฑ์ไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในพม่า ด้านผู้ลี้ภัยช่วยกะเหรี่ยง ที่ถูกส่งกลับ พากันไม่พอใจและยินยันว่าพวกเขายังไม่ต้องการที่จะกลับไปในเขตพม่า เนื่องจากทราบข่าวมาว่า จะมีการสู้รบระหว่างทหารกะเหรี่ยงกับทหารพม่าในบริเวณ พื้นที่ตรงข้ามบ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน และบริเวณพื้นที่ บ้านเซเบท่า ฐานที่มั่นของกะเหรี่ยง เคเอ็นยู กองพลน้อยที่ 7 ตรงข้ามบ้านแม่สลิด อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

Let's block ads! (Why?)


กะเหรี่ยง KNU แถลงการณ์ประณามทหารเมียนมา โจมตีทางอากาศ ทำชาวกะเหรี่ยงดับ 3 บาดเจ็บอื้อ - มติชน
Read More

Tuesday, March 30, 2021

"ศักดิ์สยาม" เกลี่ยงานใหม่ "อธิรัฐ" คุมทางน้ำ ยกขนส่งให้ "วีรศักดิ์" - ประชาชาติธุรกิจ

ทันใจ “ศักดิ์สยาม” ออกคำสั่งแบ่งงานใหม่ ให้”วีรศักดิ์”คุมหน่วยงานเดิมของ”ถาวร” ยก”กรมขนส่ง-งานตอบกระทู้สภา”ให้คุมเพิ่ม ส่วน”อธิรัฐ”คุมทางน้ำเหมือนเดิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงนามในคำสั่งกระทรวงคมนาคมที่ 183/2564 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

โดยระบุว่าตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และการที่กระทรวงคมนาคมมีคำสั่งกระทรวงคมนาคมที่ 429/2563 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนั้น

เพื่อให้การบริหารราชการของกระทรวงคมนาคม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 และ 38 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 และแก้ไขเพิ่มเติมประกอบ พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการมอบอํานาจ 2550 จึงให้ยกเลิกคำสั่งกระทรวงคมนาคมที่ 429/2563 โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ดังนี้

“อธิรัฐ” คุมหน่วยเดิม

1. นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการกำกับดูแล นักปฏิบัติราชการแทนโดยทั่วไป ยกเว้น งานบริหารบุคคล อนุมัติงบประมาณ การอนุมัติ การอนุญาต การออกใบอนุญาตใดๆของรัฐมนตรีว่าการ สำหรับหน่วยงานส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มอหมาย ประกอบด้วย
1. การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และ 2. กรมเจ้าท่า (จท.)

“วีรศักดิ์” คุมเพิ่ม “ขนส่ง-ตอบกระทู้สภา”

2.. นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการกำกับดูแล นักปฏิบัติราชการแทนโดยทั่วไป ยกเว้น งานบริหารบุคคล อนุมัติงบประมาณ การอนุมัติ การอนุญาต การออกใบอนุญาตใดๆของรัฐมนตรีว่าการ สำหรับหน่วยงานส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มอหมาย ประกอบด้วย

1. กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)
2.กรมท่าอากาศยาน (ทย.)
3.สถาบันการบินพลเรือน
4. บจ. โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
5.งานตอบกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอาจมอบอํานาจการอนุมัติ อนุญาต การออกใบอนุญาตใดๆ หรือการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่นตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งใด หรือมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อันอยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีว่าการ ให้แก่รัฐมนตรีช่วยว่าการได้

โดยจะทำเป็นหนังสือบรรดาเอกสารใดที่รัฐมนตรีช่วยว่าการได้สั่งหรือลงนามในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทน จะต้องเสนอรัฐมนตรีว่าการให้ทราบในโอกาสแรก

หากรัฐมนตรีว่าการเห็นว่ามีเรื่องและประเด็นใดนโยบายของรัฐบาลหรือมีผลกระทบกับนโยบายของรัฐบาลดูผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือเรื่องที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนและความอยุติธรรมแก่ประชาชน รัฐมนตรีว่าการสามารถสั่งการในเรื่องนั้นได้โดยตรง

และในกรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

Let's block ads! (Why?)


"ศักดิ์สยาม" เกลี่ยงานใหม่ "อธิรัฐ" คุมทางน้ำ ยกขนส่งให้ "วีรศักดิ์" - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

สรุปหุ้นเด่นทางพื้นฐาน (30/03/64) - efinanceThai

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ M 66 คาดกำไรปี 64 ฟื้นตัวแรงสู่ระดับ 2.2 พันล้านบาท (+143%YoY) จาก 1) ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) เดือนม.ค.-มี.ค. ดีขึ้น MoMMoMทุกเดือน และคาดเดือนมี.ค.จะเริ่มเห็น SSSG เป็นบวก YoY เดือนแรก 2) แผนการขยายสาขา 28 สาขาในปีนี้ (ดีกว่าเดิม) 3) แหลมเจริญ กลับมาเติบโต PLANB 9.75 คาดกำไรปี 25642564ที่ 462 ล้านบาท 228 %YoY YoYฟื้นเร็วสุดในกลุ่ม จาก 1 ) โครงสร้างลูกค้า 5 กลุ่มหลักฟื้นตัวแรง 2 ) เดือน ก.ค. 64 จะมีรายได้อย่างมีนัยสำคัญจาก การบริหารสื่อโฆษณา กีฬาโอลิมปิก 2020 และไทยพรีเมียลีก 3 ) สื่อในร้าน7-11 จะเก็บเกี่ยวรายได้ 1000 สาขาแรกเต็มปี บล.กรุงศรี หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ PTTEP 160 มีข่าวดีประกาศปิดดีลเข้าซื้อสัดส่วนการถือหุ้น 20% ในโครงการ Block 61 ในโอมานได้เร็วกว่าที่คาดไว้เดิม ส่งผลบวกต่อปริมาณการผลิตและขายของ PTTEP ในอนาคตระยะสั้นได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น TNP 5.2 คาดกำไรสุทธิ 1Q21 เดินหน้าทำ Newhigh ได้แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นรับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐอาทิ มาตรการคนละครึ่ง และ มาตรการเราชนะ บล.ฟินันเซีย ไซรัส หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ CPALL 86 ราคาหุ้นทำ New high ในปีนี้ แต่ยัง Laggard เกือบที่สุดในกลุ่มค้าปลีกเทียบตั้งแต่ reopen ปีก่อน ขณะที่โมเมนตัมเป็นบวกจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย CPALL มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7-8% บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ BANPU 14.5 ปีแห่งการ Turn around, เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ ประเมินกำไรสุทธิเฉลี่ยปี 2021 ที่ 4.8 พัน ลบ. พลิกจากขาดทุนในปีก่อน หลังธุรกิจหลักมีแนวโน้มดีขึ้นตามราคาขายถ่านหิน-ก๊าซที่ทรงตัวในระดับสูง

Let's block ads! (Why?)


สรุปหุ้นเด่นทางพื้นฐาน (30/03/64) - efinanceThai
Read More

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืน เบรก 'ทางเลียบเจ้าพระยา' อาจเข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย - มติชน

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืน เบรก ‘ทางเลียบเจ้าพระยา’ อาจเข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืน ตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่มีคำสั่งห้ามไม่ให้กรุงเทพฯดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เฉพาะในส่วนของแผนงานที่ 1 คือทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่นโดยให้เหตุผล ว่าการที่กรมเจ้าท่าได้อาศัยอำนาจตามข้อ 6 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 63 พ.ศ. 2537 ออกตามความใน พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย 2456 อนุญาตให้ กรุงเทพมหานครปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำแม่น้ำ ประเภทก่อสร้างโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่ 1 ฝั่ง ตะวันออกจากสะพานพระราม 7 ถึงกรมชลประทานสามเสนระยะทาง 2.99 กิโลเมตร ช่วงที่ 3 ฝั่งตะวันตกจากสะพานพระราม 7 ถึงคลองบางพลัดระยะทาง 3.20 กิโลเมตร

เพื่อพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่งให้มีลักษณะเป็นสะพานยกสูงเหนือระดับน้ำท่วมสูงสุดและใช้เป็นทางสัญจร รองรับการเดินทางด้วยจักรยานชมทัศนียภาพ พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตามใบอนุญาตเลขที่ 16/ 2561 ลงวันที่ 19 ต.ค.2561 ในชั้นนี้น่าจะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย หากให้ กรุงเทพมหานคร กระทำต่อไป ซึ่งการกระทำที่ถูกฟ้องก็อาจเป็นเหตุให้เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคมและพวกรวม 12 คน ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่กรุงเทพมหานคร จะดำเนินการตามที่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า

ส่วนที่คณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร อุทธรณ์ว่าการที่ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้กรุงเทพมหานครดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเฉพาะในส่วนของแผนงานที่ 1 คือทางเดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาส่งผลให้ กรุงเทพมหานคร ไม่สามารถจัดทำบริการสาธารณะเพื่อให้ประโยชน์ ได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ส่งผลให้เป็นอุปสรรคแก่การบริหารราชการของกรุงเทพมหานครนั้น เมื่อพิจารณาโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแผนงานที่ 1 กรณีก่อสร้างทางเดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ เป็นทางสัญจรรองรับการเดินทางด้วยจักรยานชมทัศนียภาพ พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย

ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการของ กรุงเทพมหานคร ตามมาตรา 89 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร 2528 อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะ แต่กรุงเทพฯได้มีการจัดทำทางสัญญารองรับการเดินทางด้วยจักรยานชมทัศนียภาพพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งอยู่แล้ว ในเขตความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดี ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น ดังนั้นการที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งดังกล่าวศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านทีละบรรทัด คำสั่ง ‘ศาลปกครอง’ เบรก ‘ทางเลียบเจ้าพระยา’ ยกแรกเพิ่งเริ่ม อย่ารีบเดาตอนจบ

QR Code LINE @Matichon

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่

LINE @Matichon

บทความก่อนหน้านี้ดูแตร์เต ไฟเขียวเอกชน นำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้
บทความถัดไป‘เฉลิมชัย’ นั่งหัวโต๊ะ ซีพีทีพีพี ด้านเกษตรพันธุ์พืช เปรยไทยยังไม่พร้อม

matichon

Let's block ads! (Why?)


ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืน เบรก 'ทางเลียบเจ้าพระยา' อาจเข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย - มติชน
Read More

เอกชนกังวลรัฐฉีดวัคซีนล่าช้า ซ้ำเติมเศรษฐกิจ วอนเปิดทาง รพ.นำเข้า - ประชาชาติธุรกิจ

ภาพ : pixabay

ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจ FTI Poll ความเห็นต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ชี้ส่วนใหญ่กังวลหากภาครัฐมีการฉีดวัคซีนล่าช้า กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จี้รัฐบาลเร่งรัดการจัดซื้ออนุญาตนำเข้าวัคซีน วอนเปิดให้โรงพยาบาลเอกชน สามารถนำเข้าวัคซีนได้

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 4 ในเดือนมีนาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว”

พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ยังมีความกังวลต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ที่ยังมีความล่าช้าและมีจำนวนไม่เพียงพอ และมองว่าหากภาครัฐมีการฉีดวัคซีนล่าช้าจะส่งผลอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงมีความเห็นว่า ควรเร่งรัดการจัดซื้อและอนุญาตนำเข้าวัคซีนให้เพียงพอ รวมทั้ง การเปิดให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตจาก อย. มาให้บริการแก่ประชาชนได้

โดยภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมให้เอกชนสั่งซื้อวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. มาฉีดให้แก่แรงงาน เช่น การนำค่าวัคซีนไปหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า, การสนับสนุนค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ให้แก่สถานประกอบการ เป็นต้น

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 191 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 74 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มีความกังวลต่อการบริหารจัดการปัญหาโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาครัฐ ในเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ที่ยังล่าช้าและมีจำนวนไม่เพียงพอกับประชาชน คิดเป็นร้อยละ 79.6

รองลงมาเป็นเรื่องการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ร้อยละ 50.8 และการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ร้อยละ 45.5 ซึ่งจากความกังวลในเรื่องวัคซีน ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่าหากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนเกิดความล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระดับ “มาก” คิดเป็นร้อยละ 76.4 รองลงมาระดับปานกลาง ร้อยละ 22.0 และระดับน้อยอยู่ที่ร้อยละ 1.6

เมื่อถามถึงความสำคัญของแผนการบริหารจัดการวัคซินโควิด-19 ของภาครัฐ ว่าควรเร่งดำเนินการในเรื่องใด

พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญเรื่องการเร่งรัดการจัดซื้อวัคซีนและอนุญาตนำเข้าวัคซีนมาใช้ในประเทศให้เพียงพอ คิดเป็นร้อยละ 77.0 รองลงมาเป็นเรื่องความร่วมมือกับภาคเอกชนในการบริหารและกระจายการฉีดวัคซีน ร้อยละ 68.6 และความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายและระยะเวลาการฉีดวัคซีน ร้อยละ 57.6

และผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมีความเห็นว่า การเปิดให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตจาก อย. มาให้บริการได้ จะเป็นแนวทางที่ช่วยให้ภาครัฐสามารถกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยมีผลสำรวจคิดเป็นร้อยละ 81.2 รองลงมาเป็นการเปิดให้สถานประกอบการสามารถสั่งซื้อวัคซีนจากหน่วยงานที่ได้รับการอนุญาตจาก อย. เช่น องค์การเภสัชกรรม ร้อยละ 62.3 และการเร่งขึ้นทะเบียนวัคซีนให้มากชนิดขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารจัดการ ร้อยละ 61.8

สำหรับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อส่งเสริมให้เอกชนมีการสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 ที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. มาฉีดให้แก่แรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. เห็นว่า ควรออกมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าวัคซีนไปหักค่าใช้จ่าย 2 เท่า คิดเป็นร้อยละ 63.4 รองลงมาเป็นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งให้แก่สถานประกอบการ ร้อยละ 62.3 และการสนับสนุนทีมแพทย์ในการฉีดวัคซีน ณ สถานประกอบการ ร้อยละ 48.2

นอกจากนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกไปถึงเรื่องการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ซึ่งพบว่า ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังคงให้ความสำคัญไปที่เรื่องจำนวนวัคซีนที่เพียงพอและความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ (ไม่น้อยกว่า 50%) คิดเป็นร้อยละ 78.0

รองลงมาเป็นเรื่องกฎระเบียบในการเดินทางเข้าออกประเทศ อาทิ การนำวัคซีนพาสปอร์ตมาใช้สำหรับการเดินทางเข้าออกประเทศ รวมทั้งมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 72.8 ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและความมั่นใจของชุมชนในแหล่งท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 53.9

ส่วนมุมมองว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมใดควรได้รับการเร่งช่วยเหลือและส่งเสริมเร่งด่วน 3 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมการบิน คิดเป็นร้อยละ 58.6 รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 55.0 และอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภค และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ร้อยละ 49.7

ซึ่งหากพิจารณาถึงมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แรงงานในสถานประกอบการเข้าถึงวัคซีนโควิด คิดเป็นร้อยละ 72.8 รองลงมายังคงต้องการมาตรการทางการเงิน เช่น การพักชำระหนี้, Asset Warehousing ฯลฯ ร้อยละ 68.6 และการลดหย่อนภาษี/ขยายระยะเวลานาน ผลขาดทุนสะสมมาใช้ คิดเป็น 61.3

ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่าหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวและเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในยุค New normal

โดย 3 อันดับแรก พบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการปรับ Business Model เพื่อสร้างความสมดุลในการดำเนินธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 75.4 รองลงมาเป็นเรื่องการพัฒนาสินค้าและบริการที่เน้นสุขอนามัยและความปลอดภัย ร้อยละ 62.8 และสุดท้ายเป็นเรื่องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ และรุกตลาดแบบดิจิทัล ร้อยละ 57.6

Let's block ads! (Why?)


เอกชนกังวลรัฐฉีดวัคซีนล่าช้า ซ้ำเติมเศรษฐกิจ วอนเปิดทาง รพ.นำเข้า - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ - กรุงเทพธุรกิจ

30 มีนาคม 2564

28

ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวก ปชช. ติดต่อราชการ

เมื่อวันที่ 30 มี.ค.64 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.การปฎิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …

มีสาระสำคัญ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการติดต่อราชการ และลดขั้นตอนขอรับบริการ โดยประชาชนสามารถขออนุญาตในการจดทะเบียน ประกอบธุรกิจ ขอรับบริการ รวมถึงจ่ายเงินทางออนไลน์ได้ และประชาชนสามารถจัดส่งเอกสารไปถึงหน่วยงานรัฐ และขอให้แจ้งกลับทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยส่งต้นฉบับโดยไม่ต้องสำเนาได้

Let's block ads! (Why?)


ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

กองทัพพม่าโหด เดินหน้าโจมตีทางอากาศหมู่บ้านกะเหรี่ยง หามคนเจ็บส่งรพ.ไทย - ไทยรัฐ

ด้านนายเดวิด อูแบงก์ ผู้ก่อตั้งองค์กรเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษย์ ‘Free Burma Rangers’ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยอมรับผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง เนื่องจากราว 2,009 คนถูกผลักดันให้กลับมายังค่ายที่พักที่ Ee Thu Hta ทางฝั่งประเทศเมียนมา เมื่อเวลา 18.15 น. วานนี้

ช่วยกันนำชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกกองทัพส่งเครื่องบินรบโจมตีทางอากาศต่อเนื่อง ข้ามแม่น้ำสาละวิน มารักษาที่โรงพยาบาลในตำบลแม่สามแลบ อ.สบเมย เมื่อ 30 มี.ค.64
ช่วยกันนำชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกกองทัพส่งเครื่องบินรบโจมตีทางอากาศต่อเนื่อง ข้ามแม่น้ำสาละวิน มารักษาที่โรงพยาบาลในตำบลแม่สามแลบ อ.สบเมย เมื่อ 30 มี.ค.64

‘ยังคงมีเครื่องบินรบบินเหนือพื้นที่หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง’ มาร์ก ฟาร์แมเนอร์ หัวหน้าองค์กรเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน Burma Campaign UK กล่าวกับนักข่าวรอยเตอร์

Let's block ads! (Why?)


กองทัพพม่าโหด เดินหน้าโจมตีทางอากาศหมู่บ้านกะเหรี่ยง หามคนเจ็บส่งรพ.ไทย - ไทยรัฐ
Read More

Monday, March 29, 2021

ทนายความธนาธรสงสัยหมายเรียก ม.112 เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หลังศาลยกคำร้องสั่งลบคลิป - มติชน

ทนายความธนาธรสงสัยหมายเรียก ม.112 เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หลังศาลยกคำร้องสั่งลบคลิป

เมื่อเวลา 09.30น. วันที่ 30 มีนาคม ที่ สน.นางเลิ้ง นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีนายธนาธร เตรียมรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามกฎหมายอาญา ม.112 กรณีไลฟ์สดบนเพจเฟซบุ๊กวิจารณ์การจัดซื้อจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลที่มีความล่าช้าและเชื่อมโยงกับสถาบัน

นายกฤษฎางค์กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกครั้งแรกที่เลื่อนจากช่วงต้นเดือนมาเป็นวันนี้ เพราะนายธนาธรติดภารกิจ จึงมารับทราบข้อกล่าวหาและให้การในวันนี้เป็นครั้งแรก

ส่วนกรณีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาให้มีคำสั่งลบคลิปไลฟ์ดังกล่าวนั้น นายธนาธรได้แถลงเหตุผลต่อศาลว่าเป็นการท้วงติงรัฐบาล หากทำให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นต่อบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เพียงแห่งเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้บริษัทอื่นได้ร่วมพัฒนาวัคซีน จะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงของสุขภาพคนในสังคม ซึ่งรัฐบาลพยายามนำเรื่องวัคซีนไปผูกโยงกับเรื่องสถาบัน ศาลอาญาได้ยกคำร้องของกระทรวงออกไป จึงยังสามารถเผยแพร่คลิปต่อไปได้ ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

นายกฤษฎางค์กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนายธนาธร เจ้าตัวไม่มีความวิตกกังวล และเป็นเรื่องที่ซ้ำซ้อนกับคดีเก่า จึงต้องสอบถามกับพนักงานสอบสวนว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่

Let's block ads! (Why?)


ทนายความธนาธรสงสัยหมายเรียก ม.112 เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หลังศาลยกคำร้องสั่งลบคลิป - มติชน
Read More

กู้เรือเอเวอร์พ้นทาง คาดจ่อเปิดสุเอซได้เร็วนี้ - ไทยรัฐ

เมื่อวันที่ 29 มี.ค.องค์การคลองสุเอซ (เอสซีเอ) แถลงความคืบหน้าการกู้เรือขนาดมหึมา เอเวอร์ กิฟเวน ที่ปิดกั้นคลองสุเอซของอียิปต์เกือบหนึ่งสัปดาห์ กลับมาลอยได้บางส่วนแล้วว่า มีความหวังว่าจะสามารถเปิดการสัญจรทางน้ำได้ในไม่ช้า

Let's block ads! (Why?)


กู้เรือเอเวอร์พ้นทาง คาดจ่อเปิดสุเอซได้เร็วนี้ - ไทยรัฐ
Read More

รวบแล้ว คนร้ายล่วงละเมิดทางเพศ หญิงป่วยติดเตียง จ.อุบลราชธานี - ช่อง 7

ตำรวจรวบตัวคนร้ายก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศหญิงป่วยติดเตียง ในขณะนอนหลับอยู่ข้างสามีได้แล้ว เจ้าตัวอ้างว่าสาเหตุที่ทำไป เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ

รวบแล้ว คนร้ายล่วงละเมิดทางเพศ หญิงป่วยติดเตียง จ.อุบลราชธานี
จากกรณีคนร้ายบุกเข้ามาภายในบ้านพักหลังหนึ่ง ในชุมชนกุดปลาขาว อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อช่วงเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนจะล่วงละเมิดทางเพศหญิงอายุ 56 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง ทั้ง ๆ ที่เธอกำลังนอนหลับอยู่ข้างสามี ก่อนจะหลบหนีไป โดยทิ้งกางเกงชั้นใน กางเกงขาสั้น และกล่องถุงยางอนามัย ไว้เป็นหลักฐาน

กระทั่งเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (29 มี.ค.) ตำรวจ สภ.วารินชำราบ เร่งสอบปากคำชายอายุ 68 ปี สามีของผู้เสียหาย เพื่อระบุถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย จนทราบว่าเป็นชายอายุ 32 ปี มีอาการป่วยจิตเวช อาศัยอยู่ในบ้านพักหลังหนึ่ง ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร จึงเข้าจับกุมตัว

ชายอายุ 32 ปี ผู้ต้องหาสารภาพว่า ตนเองกับหญิงอายุ 56 ปี (ผู้เสียหาย) มีความสนิทสนมกัน เพราะมักจะไปช่วยเหลือดูแลในช่วงเวลาที่สามีของเธอออกไปทำงาน กระทั่งวันเกิดเหตุ เดินผ่านหน้าบ้านหลังดังกล่าว สังเกตว่าหญิงผู้เสียหายนอนหลับอยู่กับสามีบนแคร่ไม้ใต้ถุนบ้าน ด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าจะมียุง หรือสัตว์มีพิษทำร้าย จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปดู

ปรากฏว่าหญิงผู้เสียหายตื่นขึ้นมาพอดี ซึ่งชายอายุ 32 ปี ผู้ต้องหาอ้างว่าขณะนั้นเธอขอความช่วยเหลือ ให้ตนเองเปลี่ยนกางเกงให้ เนื่องจากเลอะอุจจาระ เพราะไว้เนื้อเชื่อใจ เห็นว่าเคยดูแลกันมาก่อน ซึ่งในขณะถอดกางเกงให้นั้น มือเกิดไปสัมผัสกับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย จึงเกิดความต้องการทางเพศ จึงใช้มือปิดปากไม่ให้ร้อง ก่อนจะล่วงละเมิดทางเพศ ทันใดนั้นสามีของผู้เสียหายสะดุ้งตื่นขึ้นมา เห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ใส่กางเกง

เบื้องต้นตำรวจนำตัวชายอายุ 32 ปี ผู้ก่อเหตุ ไปตรวจอาการทางประสาทที่โรงพยาบาลในพื้นที่ ซึ่งในระหว่างนี้ต้องรอผลตรวจจากทางโรงพยาบาล หากว่าป่วยเป็นจิตเวชจริง ก็จะนำตัวไปรักษาต่อไป แต่ถ้าหากตรวจอาการแล้ว แพทย์ยืนยันว่าไม่ป่วยเป็นจิตเวช ก็จะจับกุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหาฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาของตนเอง ก่อนจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รวบพระภิกษุ ล่วงละเมิดทางเพศสีกา อ้างถูกคุณไสยมนตร์ดำ จ.บุรีรัมย์
อีกหนึ่งเหตุการณ์ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (29 มี.ค.) ตำรวจ สภ.ประโคนชัย พร้อมเจ้าคณะตำบลละเวี้ย และเจ้าหน้าที่สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดบุรีรัมย์ เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ในกรณีหญิงอายุ 26 ปี แจ้งความว่าถูกพระภิกษุรูปหนึ่งล่วงละเมิดทางเพศ จนตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน แต่กลับปัดความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าเกิดจากการยินยอมของทั้งสองฝ่าย

ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบพระภิกษุอายุ 51 ปี อยู่ภายในที่พักสงฆ์แห่งหนึ่ง บริเวณป่าสาธารณะท้ายหมู่บ้านหนองคูณ ตำรวจจึงขอตรวจสอบหนังสือสุทธิ พบว่าเป็นพระภิกษุจริง

พระภิกษุผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า รู้จักกับหญิงอายุ 26 ปี (ผู้เสียหาย) เป็นการส่วนตัว และยอมรับว่าล่วงละเมิดทางเพศจริง แต่ตนเองไม่สมยอม โดยอ้างว่าก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายนำปูหลนมาให้กิน ทันใดนั้นเกิดอาการเกร็งไปทั้งตัว และไม่สามารถควบคุมความต้องการทางเพศได้ ตนเองจึงพยายามสวดมนต์ดับกิเลส และถามไปว่า "ใส่อะไรไปในอาหาร ทำไมถึงมีอาการแบบนี้" ทันใดนั้นหญิงคนดังกล่าวก็ขยับเข้ามากระซิบข้างหูว่า "ไม่ได้ใส่อะไร" ทำให้ขนลุกซู่ เหมือนโดนมนตร์สะกด ก่อนจะล่วงละเมิดทางเพศหญิงผู้เสียหาย และมารู้ตัวอีกทีเมื่อผู้เสียหายขอตัวกลับบ้าน หลังเกิดเหตุนั่งทบทวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมั่นใจว่าต้องโดนหญิงคนนี้ทำคุณไสยมนตร์ดำใส่แน่นอน

หลังเกิดเหตุ เจ้าคณะตำบลละเวี้ย เชิญตัวพระภิกษุผู้ก่อเหตุไปยังวัดที่อุปสมบท เพื่อให้พระอุปัชฌาย์ทำการสึก เพราะถือเป็นความผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง และจะเชิญตัวผู้เสียหายมาสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับอดีตพระภิกษุผู้ก่อเหตุ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Let's block ads! (Why?)


รวบแล้ว คนร้ายล่วงละเมิดทางเพศ หญิงป่วยติดเตียง จ.อุบลราชธานี - ช่อง 7
Read More

"อนุชา" สั่งติดตามพระภิกษุร่วมกิจกรรมทางการเมือง ล่าสุดลาสิกขาแล้ว - ไทยรัฐ

30 มี.ค. 2564 07:46 น.

"อนุชา" สั่งสำนักพุทธฯ ติดตามพฤติกรรมพระภิกษุร่วมกิจกรรมทางการเมือง 2 รูป เข้าข่ายแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ ล่าสุดสมัครใจลาสิกขาแล้ว

จากกรณีที่มีพระภิกษุ 4 รูป เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยเข้าร่วมกิจกรรมแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติติดตามพฤติกรรมของพระภิกษุดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ข่าวแนะนำ

ล่าสุดวันนี้ (30 มี.ค.) สำนักงานพระพุทธศาสนา โดยกลุ่มคุ้มครองฯ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าคณะแขวงดุสิต กรณีนำตัวพระภิกษุ 2 รูปที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายข้างต้นมาดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ประกอบด้วย พระประนมกร ปราณีต สังกัดวัดเลียบ จ.สุรินทร์ และ พระวิรัช แซ่คู สังกัดวัดราษฎร์รังสรรค์ จ.กระบี่ ซึ่งทั้งสองได้ยอมรับในความผิดที่ได้กระทำ จึงสมัครใจลาสิกขาแล้ว โดยภายหลังจากลาสิกขา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ส่วนอีก 2 รูปยังไม่พบตัว และกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของการปฏิบัติตนของสงฆ์กับกรณีทางการเมืองนั้น ได้เคยมีคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระภิกษุ สามเณร ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พ.ศ.2538 และยังคงยึดถือปฏิบัติตามคำสั่งนี้มาจนปัจจุบัน ดังนั้นในส่วนของอำนาจหน้าที่การดำเนินการตามความผิด เป็นไปตามที่พระสังฆาธิการผู้มีอำนาจดำเนินการ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทางคณะสงฆ์เห็นสมควร.

อ่านเพิ่มเติม...

Let's block ads! (Why?)


"อนุชา" สั่งติดตามพระภิกษุร่วมกิจกรรมทางการเมือง ล่าสุดลาสิกขาแล้ว - ไทยรัฐ
Read More

หมู่บ้านทะลุฟ้า จัดกิจกรรมเด็กหลงทางในเส้นทางประชาธิปไตย สกายวอล์กปทุมวัน - ไทยรัฐ

29 มี.ค. 2564 17:52 น.

ม็อบวันนี้ มวลชนทยอยร่วมการชุมนุม “หมู่บ้านทะลุฟ้า” จัดกิจกรรมเด็กหลงทางในเส้นทางประชาธิปไตย บนสกายวอล์กแยกปทุมวัน พร้อมเรียกร้องต้องปล่อยเพื่อนที่ถูกจับกุมไป

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 29 มี.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศของม็อบวันนี้ ภายหลังกลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า มีการนัดรวมตัวชุมนุมทำกิจกรรม “เด็กหลงทาง” บริเวณสกายวอล์กแยกปทุมวัน ตั้งแต่เวลา 17.00 น. ที่ผ่านมา โดยพบว่ามีมวลชนทยอยเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้ชุมนุมทุกคนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมควบคุมตัวไป

ข่าวแนะนำ

ทั้งนี้ ทางแฟนเพจเพจกิจกรรมดังกล่าวจะมีการร่วมเขียนข้อความถึงเพื่อนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมผ่านเด็กหลงทางในเส้นทางประชาธิปไตย และนำทางให้เด็กหลงทางของเราพบเจอประชาธิปไตยในเร็ววัน พร้อมกันนี้ ตัวแทนของกลุ่มมีการกล่าวยืนยันว่า เจตนารมณ์ของหมู่บ้านทะลุฟ้าคือสันติวิธี ไม่เคยมีพฤติกรรมในการใช้ความรุนแรง ไม่มีการขัดขืนขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมและจับกุมตัว พร้อมย้ำขึ้นข้อเรียกร้อง 4 ข้อ คือ ปล่อยเพื่อนเรา, เขียนรัฐธรรมนูญใหม่, ยกเลิกมาตรา 112 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกไป.

อ่านเพิ่มเติม...

Let's block ads! (Why?)


หมู่บ้านทะลุฟ้า จัดกิจกรรมเด็กหลงทางในเส้นทางประชาธิปไตย สกายวอล์กปทุมวัน - ไทยรัฐ
Read More

ครึ่งทางมอเตอร์โชว์ ยอดจองรถโตพรวด 50% ทะลุ "หมื่น" คัน - ประชาชาติธุรกิจ

ผู้จัดงาน “มอเตอร์โชว์” เผยตัวเลขจองรถ ครึ่งทางโตขึ้น 50% จากปีก่อน ชี้ชัดผลจากค่ายรถเดินหน้าอัดแคมเปญหวังดันยอดขาย

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานจัดงาน เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์แรก ของการจัดงาน ยังคงได้รับความสนจากผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 ยังคงต้องเฝ้าระวังกันอยู่ก็ตาม จากการเก็บข้อมูลของผู้จัดงานพบว่า ยอดจองรถภายในงานในช่วงสัปดาห์แรกหรือ ครึ่งทางของการจัดงาน มียอดจองสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว 50% ทั้งนี้เป็นผลมา จาก ค่ายรถยนต์และจักรยานยนต์ส่งโปรโมชั่นแรง สร้างความสนใจต่อผู้ต้องการซื้อรถ อย่างมาก รวมถึงผู้เข้าชมงานมีความมั่นใจมาตรฐานความปลอดภัยของการจัดงาน ทำให้บรรยากาศในช่วงสัปดาห์แรกเป็นไปอย่างคึกคัก

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานเพิ่มเติมว่า หากเปรียบเทียบยอดจองงานมอเตอร์ โชว์ปี 2563 ที่ผ่านมาตลอดงานสามารถทำได้ 22,791 คัน แบ่งเป็นยอดจองรถยนต์ 18,381 คัน และรถจักรยานยนต์ 4,410 คัน

ส่วนครึ่งทางหรือ 7 วันก็มียอดใกล้เคียง 10,000 คันแบ่งเป็นรถยนต์ 5,800 คัน และ รถจักรยานยนต์ 2,442 คัน

งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 จัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม-4 เมษายน 2564

Let's block ads! (Why?)


ครึ่งทางมอเตอร์โชว์ ยอดจองรถโตพรวด 50% ทะลุ "หมื่น" คัน - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

ไทยผลักดันผู้อพยพกว่า 2,000 คนที่หนีเข้าทางแม่ฮ่องสอน หลังกองทัพเมียนมาบินถล่มฐานทัพกะเหรี่ยง - บีบีซีไทย

ชาวบ้านจากเมียนมา

ที่มาของภาพ, Karen humanitarian group handout

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างข้อมูลนักเคลื่อนไหวด้านกิจการเมียนมา 2 กลุ่มว่า ทางการไทยได้ผลักดันชาวบ้านกว่า 2,000 คนที่หลบหนีการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังกะเหรี่ยงเข้ามาฝั่งไทยใน จ.แม่ฮ่องสอน กลับรัฐกะเหรี่ยงทางแล้ว ด้านกลุ่มนักเคลื่อนไหวชี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและไร้มนุษยธรรม

นายเดวิด โอแบงก์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Free Burma Rangers ระบุว่า มีชาวบ้าน 2,009 คนถูกผลักดันกลับไปที่ค่ายผู้อพยพอิตูท่า ที่อยู่ในฝั่งเมียนมา เมื่อเวลา 18.15 น.ตามเวลาท้องถิ่น

โปรดเปิดการใช้งาน JavaScript หรือบราวเซอร์ต่างออกไป เพื่ดูเนื้อหานี้

โดยก่อนจะหนีข้ามมายังฝั่งไทยชาวบ้านกลุ่มนี้ได้พักอยู่ที่ค่ายดังกล่าวหลังจากต้องละทิ้งบ้านเรือนเพื่อหลบหนีการโจมตีของกองทัพเมียนมาในช่วงก่อนหน้านี้ การถูกผลักดันครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านหลายคนกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากการสู้รบที่ดูเหมือนยังดำเนินอยู่

ชาวบ้านจากเมียนมา

ที่มาของภาพ, Karen humanitarian group handout

นายมาร์ก ฟาร์มาเนอร์ หัวหน้ากลุ่ม Burma Campaign UK เผยกับรอยเตอร์ว่า "ยังคงมีเครื่องบินรบบินเหนือบริเวณดังกล่าวอยู่"

ขณะที่นายสุณัย ผาสุข นักวิจัยอาวุโสของฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทย ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า "การกระทำที่ไร้หัวใจและผิดกฎหมายของไทยจะต้องยุติลงเดี๋ยวนี้"

เจ้าหน้าที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนคนหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อบอกกับรอยเตอร์ว่า ชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกผลักดันกลับประเทศ "พวกเขายังอยู่ในเขตไทย บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านั้น และอยู่ในการควบคุมของทหารไทย"

ทหารพรานไทยสกัดผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงที่ชายแดนไทย

ที่มาของภาพ, Karen humanitarian group handout

ช่วงบ่ายของ 29 มี.ค. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ชาวบ้านจากเมียนมาอพยพหนีภัยมายังฝั่งไทยใน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน กว่า 2,000 คน หลังกองทัพเมียนมาโจมตีทางอากาศฐานที่มั่นของกองกำลังกะเหรี่ยงเมื่อ 28 มี.ค.

"(ผู้อพยพ) ประมาณ 2,000 กว่าคน ยังอยู่ในแนวตะเข็บชายแดน ต.แม่คง อยู่ระหว่าง อ.แม่สะเรียง กับ อ.สบเมย"

ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยได้เข้าไปดูแล และจำกัดให้อยู่แต่บริเวณที่กำหนด ป้องกันการเคลื่อนย้าย โดยในวันที่ 30 มี.ค. เวลา 15.00 น.ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะแถลงข่าวเพื่อธิบายถึงแผนรับมือผู้อพยพ

โปรดเปิดการใช้งาน JavaScript หรือบราวเซอร์ต่างออกไป เพื่ดูเนื้อหานี้

ก่อนหน้านี้ เมื่อ 29 มี.ค. นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับสถานการณ์ หลังจากที่มีประชาชนชาวกะเหรี่ยงตามพื้นที่ชายแดนในประเทศเมียนมาบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ข้ามฝั่งมายังแนวตะเข็บชายแดนของประเทศไทยแล้ว โดยเข้ามาอยู่ในจุดแรกรับซึ่งกองกำลังนเรศวรควบคุมดูแลเป็นการรับเบื้องต้นโดยทางทหารก็มีกระบวนการและมาตรการดูแล หากสอบสวนแล้วอาจจะแค่ตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวก็จะให้กลับเข้าไปในเขตประเทศเมียนมาที่อยู่อาศัยเดิม แต่ถ้าหากผู้อพยพเหล่านี้ได้รับผลกระทบถึงขั้นอาจจะเสี่ยงต่อชีวิตทางเราก็จะดูแลไว้ในห้วงระยะเวลาหนึ่งตามหลักมนุษยธรรมตามสมควร และผู้อพยพเหล่านี้ยังอยู่ในการดูแลของทหาร ยังไม่ได้ส่งต่อให้ฝ่ายปกครองจังหวัดแต่เราก็ต้องเตรียมความพร้อมทุกด้านไว้ ส่วนความชัดเจนจากกระทรวงมหาดไทยอีกครั้ง เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ ส่วนจำนวนผู้อพยพที่เข้ามาในเขตไทยยังไม่ชัดเจนทางทหารเป็นผู้ตรวจสอบอยู่น่าจะมีจำนวนหลายร้อยคน ผู้อพยพเหล่านี้เข้ามาในเขตไทย 2 พื้นที่ตามแนวชายแดน อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย

ชาวบ้านจากเมียนมาอพยพหนีภัยการสู้รบมาขึ้นฝั่งที่ตำบลแม่สามแลบ อำเภอแม่สะเรียง

ที่มาของภาพ, KNU handout

ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวต่อไปว่า ผู้อพยพที่เข้ามาในเขตไทย ยังไม่ได้เข้ามาพื้นที่ชั้นในยังอยู่แนวตะเข็บชายแดนโดยทหารต้องควบคุมดูแลในเรื่องมาตรการสาธารณสุขด้วย ส่วนผู้ที่รองรับทางทหารโดยกองกำลังนเรศวรได้เตรียมพื้นที่ไว้หมดแล้วตลอดตะเข็บชายแดน ส่วนผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในเขตไทยยังไม่ได้รับรายงานข้อมูลว่ามีผู้เจ็บป่วยหรือไม่ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างทหารไทยกับทหารเมียนมาเรามีความสัมพันธ์กันดีในระดับพื้นที่ ส่วนอาหารการกินทราบว่าผู้หนีภัยจากการสู้รบมีเสบียงอาหารติดตัวมาบางส่วน และจะสามารถดำรงชีพอยู่ได้หลายวัน ส่วนการสู้รบระหว่างชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงเคเอ็นยู กับทหารเมียนมา ยังไม่มีรายงานกระสุนปืนเข้ามาตกในเขตไทยแต่อย่างใด โดยทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้สั่งการให้นายอำเภอแต่ละอำเภอประสานงานกับฝ่ายทหารอย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชนไทยตามแนวชายแดน

ชาวบ้านจากเมียนมาอพยพหนีภัยการสู้รบมาขึ้นฝั่งที่ตำบลแม่สามแลบ อำเภอแม่สะเรียง

ที่มาของภาพ, KNU handout

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อมีเหตุการณ์สู้รบกันในเมียนมา ไทยในฐานะที่มีพรหมแดนติดกันก็ต้องรับมือการอพยพเข้ามา โดยจะดูแลตามตามหลักสิทธิมนุษยชน

"เราก็ไม่อยากให้มีการอพยพเข้ามาในพื้นที่ของเรา แต่เราก็ดูแลเรื่องของสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย"

ชาวบ้านซ่อนตัวในเขตเมียนมาริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน

ที่มาของภาพ, KNU handout

หลักสากลไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยไปสู่อันตราย

น.ส.พรสุข เกิดสว่าง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน กล่าวว่า ตามกฎจารีตประเพณีระหว่างประเทศจะต้องไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยไปสู่อันตราย หากทำเช่นนั้นจะละเมิดประเพณีนี้ แท้จริงแล้ว ผู้อพยพไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ หากกองทัพเมียนมาหยุดปฎิบัติการ ชาวบ้านก็พร้อมกลับไป ซึ่งไทยควรเจรจากับเมียนมาเพื่อให้ยุติปฎิบัติการมากกว่าการผลักดันให้ชาวบ้านกลับไป ระยะต่อไปทหารก็ควรปล่อยให้เป็นงานของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประสานกับเอ็นจีโอในพื้นที่

"รัฐไทยมักอ้างว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการเมืองของพม่า แต่เรื่องนี้ส่งผลกระทบตามแนวชายแดน เพราะเราเป็นคนที่รองรับผู้ลี้ภัย เราจึงมีสิทธิเจรจากับเขาหรือไม่" น.ส. พรสุขกล่าว

ชาวบ้านซ่อนตัวในเขตเมียนมาริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน

ที่มาของภาพ, KNU handout

ล่าสุด มูลินิธิเพื่อนไร้พรมแดนแถลงผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า รัฐไทยละเมิดกฎจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

"เพื่อนไร้พรมแดนได้รับรายงานว่า ผู้ลี้ภัยจากชุมขนแอ้ดูท่า ถูกกดดันให้ข้ามกลับไปรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่าแล้ว แม้ตลอดวันนี้จะมีการโจมตีทางอากาศหลายครั้งไม่ห่างจากชุมชนมากนัก และกองทัพพม่ายังใช้โดรนบินสำรวจเหนือบริเวณ

ผู้ลี้ภัยที่ถูกผลักดันกลับไม่กล้าเข้าไปพักในบ้านของตนเอง แต่หลบอยู่ตามริมน้ำและในป่าด้วยความหวาดกลัว

การกระทำของรัฐไทยถือเป็นการละเมิดกฎจารีตประเพณีระหว่างประเทศ Non-refoulement ว่าด้วยหลักการไม่ผลักผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย

ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องรีบผลักให้ครอบครัว ซึ่งมีทั้งเด็กคนชรา และคนป่วย กลับไปเผชิญกับการประหัตประหารของกองทัพพม่าในขณะนี้"

ชาวบ้านซ่อนตัวในเขตเมียนมาริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน

ที่มาของภาพ, KNU handout

คนไทยในเมียนมา

วานนี้ (28 มี.ค.) นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึง การประกาศเตือนชาวไทยในเมียนมาที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในเมียนมา ว่าได้เตรียมแผนช่วยเหลือคนไทยในเมียนมาไว้อยู่แล้ว แต่จากการประเมินสถานการณ์ ยังไม่ถึงระดับเตือนให้มีการอพยพ

ในปัจจุบันยังมีคนไทยที่อยู่ในเมียนมา ตามฐานข้อมูลของสถานเอกอัครราชทูตฯ จำนวน 704 คน อยู่ในนครย่างกุ้ง 447 คน และเมืองอื่น ๆ อีก 257 คน ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่า มีคนไทยในเมียนมาได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ทางการเมือง

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ได้ติดต่อสอบถามความเป็นอยู่กับชุมชนไทยในเมียนมาอย่างใกล้ชิด และแนะนำให้คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการชุมนุม

นอกจากนี้นายธานี กล่าวว่า มีการจัดเตรียมแผนช่วยเหลืออพยพคนไทยไว้อยู่แล้ว แต่จากการประเมินสถานการณ์ในเมียนมา ยังไม่ถึงระดับที่ต้องเตือนให้มีการอพยพกลับไทย

นายก ประยุทธ์ พม่า กะเหรี่ยง

Let's block ads! (Why?)


ไทยผลักดันผู้อพยพกว่า 2,000 คนที่หนีเข้าทางแม่ฮ่องสอน หลังกองทัพเมียนมาบินถล่มฐานทัพกะเหรี่ยง - บีบีซีไทย
Read More

คลองสุเอซ: เรือเอเวอร์ กิฟเวน ที่ติดขวางคลองสุเอซกลับมาลอยลำได้แล้ว - บีบีซีไทย

โปรดเปิดการใช้งาน JavaScript หรือบราวเซอร์ต่างออกไป เพื่ดูเนื้อหานี้

องค์การคลองสุเอซยืนยันเรือเอเวอร์ กิฟเวน (Ever Given) ที่ดำเนินการโดยเอเวอร์กรีน มารีน บริษัทสัญชาติไต้หวัน สามารถเคลื่อนตัวออกจากจุดที่ติดขวางคลองสุเอซมาตั้งแต่ 23 มี.ค. ได้แล้ว

จนถึงตอนนี้เรือบรรทุกสินค้าลำนี้ได้รับการกู้จากการเกยชายหาดได้แล้วกว่า 80% ส่วนงานที่เหลือจะเริ่มทยอยกับมาเคลื่อนย้ายเรืออีกครั้งในวันนี้ รายงานข่าวดังกล่าวทำให้ผู้ที่ใช้คลองสุเอซเป็นทางสัญจรขนส่งสินค้ามีความหวังว่าจะกลับมาเดินเรือได้อีกไม่กี่ชั่วโมง เพื่อเปิดทางให้การขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าราว 3 แสนล้านบาทต่อวันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บรรดาเจ้าหน้าที่จากองค์การคลองสุเอซและบริษัทกู้ภัยทางน้ำ สมิท ซัลเวจ จากเนเธอร์แลนด์ ได้ใช้เรือลากจูงเพื่อหันลำเรือจากฝั่งคลอง ทำให้ส่วนท้ายเรือถอยออกจากฝั่งเป็นระยะทาง 102 เมตรจากเดิมที่ห่างเพียง 4 เมตร ถือว่าเป็นความสำเร็จในการทำให้เรือขนส่งสินค้ายักษ์ลำนี้กลับมาลอยลำได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระบุว่า ปฏิบัติการกู้เรือจะเริ่มอีกครั้งในเวลาประมาณ 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นหรือราว 16.30 น. ตามเวลาในไทย เมื่อระดับน้ำในคลองสูงขึ้น

ส่วนการจราจรภายในคลองสุเอซจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อสามารถเคลื่อนย้ายเรือลำดังกล่าวไปยังท่าเทียบเรือ เพื่อเปิดทางให้เรือขนส่งสินค้าที่จอดรออยู่ทั้งหมด 367 ลำ

เรือยักษ์ลำนี้มีความยาว 400 เมตร มีน้ำหนักกว่า 2 แสนตันเกยตื้นขวางคลองสุเอซมาตั้งแต่ช่วงเช้าของวันอังคารที่ผ่านมา

ที่มาของภาพ, EPA

ความพยายามในการขยับเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ลำยักษ์ให้ลอยลำได้อิสระอีกครั้งต้องใช้เวลานานหลายวัน และต้องใช้ เรือลากและเรือขุดจำนวนหลายลำ เนื่องจากเรือยักษ์ลำนี้มีความยาวขนาดเท่ากับ 4 สนามฟุตบอล และขวางอยู่บริเวณปลายทางใต้ของคลองสุเอซ ทำให้เรือลำอื่น ๆ ไม่สามารถแล่นผ่านหนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าทางน้ำที่พลุกพล่านที่สุดในโลกแห่งนี้ได้

ก่อนหน้าที่บริษัทที่ดูแลการกู้เรือลำนี้ใช้ความพยายามอย่างหนัก ทั้งใช้เรือขุด เรือลากจูง รวมทั้งการย้ายตู้คอนเทนเนอร์ราว 20,000 ตู้ออกจากเรือเพื่อให้สัมภาระบนเรือเบาลง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เป็นผล

โปรดเปิดการใช้งาน JavaScript หรือบราวเซอร์ต่างออกไป เพื่ดูเนื้อหานี้

เรือยักษ์ลำนี้มีความยาว 400 เมตร มีน้ำหนักกว่า 2 แสนตันเกยตื้นขวางคลองสุเอซมาตั้งแต่ช่วงเช้าของวันอังคารที่ผ่านมา

เส้นทางการเดินเรือผ่านคลองสุเอซถือว่ามีความสำคัญกับการค้าของโลกเพราะราว 12% ของการค้าโลกต้องลำเลียงสินค้าผ่านเส้นทางนี้ ที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลแดง และเป็นเส้นทางลัดสำหรับการเดินเรือจากทวีปเอเชียและยุโรป

หากว่าเหตุที่เรือบรรทุกสินค้าลำนี้ยังคงขวางคลองสุเอซนี้ต่อไป ทางเลือกหนึ่งคือการเดินเรืออ้อมไปยังแหลมกู๊ดโฮป ทางตอนใต้สุดของทวีปแอฟริกา ซึ่งจะใช้เวลายาวนานกว่าเดิมราว 2 สัปดาห์

กราฟิก

Let's block ads! (Why?)


คลองสุเอซ: เรือเอเวอร์ กิฟเวน ที่ติดขวางคลองสุเอซกลับมาลอยลำได้แล้ว - บีบีซีไทย
Read More

นักวิชาการ มธ. เสนอกลไกทางเลือกแก้ PM 2.5 - ไทยโพสต์

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ม.ธรรมศาสตร์ แนะ ควรให้ ‘อำนาจสั่งการ’ คกก.อากาศสะอาด ดำเนินมาตรการข้ามหน่วยงาน พร้อม ‘บูรณาการงบประมาณ’ ตามภารกิจ...