Rechercher dans ce blog

Sunday, December 31, 2023

ลูกทุ่งสาว "เจนนี่" รถตกข้างทาง คู่ลูกน้อยระทึก คนขับ "หลับใน" โชคดีปลอดภัย (คลิป) - ไทยรัฐ

ระทึกส่งท้ายปี “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” นักร้องลูกทุ่งและเจ้าของค่ายเพลงดัง พาลูกสาว “น้องยูจิน” นั่งรถอัลพาร์ดล่องใต้ ออกจากกรุงเทพฯจะไปเล่นคอนเสิร์ตใน จ.ตรัง ประสบอุบัติเหตุรถหรูพลิกคว่ำตกข้างทางที่ จ.สุราษฎร์ฯ ต้องปีนออกทางหน้าต่าง สามีนั่งรถตู้ตามหลังมารีบพาส่งโรงพยาบาล ผลเอกซเรย์ทั้ง 4 คนในรถปลอดภัย ก่อนบึ่งไปแสดงคอนเสิร์ตตามที่รับงานไว้ ตำรวจคาดคนขับอาจวูบ หลับในเพราะบนถนนไม่มีรอยเบรก

แฟนคลับโล่งใจ นักร้องลูกทุ่งสาวพร้อมลูกน้อยปลอดภัย หลังประสบอุบัติเหตุรถหรูพุ่งตกข้างทางขณะจะไปแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 29 ธันวาคม ศูนย์วิทยุ สภ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุรถยนต์พลิกคว่ำตกข้างทาง ถนนทางหลวงเอเชีย 41 ขาล่องใต้ บริเวณหน้าโรงงานกว๋างเซิน รับเบอร์ (ไทยเซาท์เทิร์น) จำกัด หมู่ 1 ต.ท่าโรงช้าง อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เบื้องต้นทราบว่าเป็นรถยนต์ของ น.ส.รัชนก สุวรรณเกตุ หรือ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” กับครอบครัว รายงาน พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เจริญรูป รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.พุนพิน พร้อมประสานกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี ไปตรวจที่เกิดเหตุและช่วยเหลือ

จุดเกิดเหตุเป็นทางโค้งเล็กน้อย พบรถยนต์โตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน 9 กม 6975 กรุงเทพมหานคร เสียหลักตกข้างถนนในสภาพพลิกตะแคงด้านขวา กันชนหน้ายุบ หลังคาหลังด้านซ้ายยุบ กระจกห้องโดยสารด้านหลังซ้ายแตก ในรถมีผู้ประสบเหตุ 4 คน ปีนออกมานั่งรออยู่ข้างรถ ประกอบด้วย นายศิริวัฒน์ จริงจิตร อายุ 29 ปี คนขับรถ น.ส.รัชนก หรือเจนนี่ สุวรรณเกตุ อายุ 28 ปี นักร้องลูกทุ่งชื่อดังและเจ้าของค่ายเพลงได้หมดถ้าสดชื่น ด.ญ.ฉัตรชนก หรือน้องยูจิน สมแก้ว วัย 1 ขวบ 7 เดือน ลูกสาวของเจนนี่ และ น.ส.ราชาวดี เพียรดี อายุ 28 ปี ทั้ง 4 คน ไม่มีบาดแผลตามร่างกาย มีอาการปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอก ในที่เกิดเหตุมีนายฉัตรมงคล หรือยิว สมแก้ว สามีเจนนี่ นั่งรถตู้อีกคันตามหลังมาทัน และนำทั้ง 4 คน ส่งไปตรวจร่างกายที่ รพ.ท่าโรงช้าง ผลเอกซเรย์ทุกคนปลอดภัยดี

จากการสอบสวนทราบว่า รถยนต์ในคณะของเจนนี่มีประมาณ 3-4 คัน เพิ่งเสร็จจากงานคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ และกำลังเดินทางจะไปเล่นคอนเสิร์ตต่อคืนนี้ที่ จ.ตรัง ก่อนจะกลับไปบ้านใน จ.นครศรีธรรมราช ระหว่างทางรถคันที่เจนนี่และลูกสาวนั่งมาได้ประสบอุบัติเหตุแหกโค้งตกข้างทาง โชคดีคนในรถทุกคนปลอดภัย ตำรวจกำลังสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง เบื้องต้นสันนิษฐานคนขับอาจหลับในเพราะขับรถระยะทางไกลและบนถนนไม่มีรอยเบรก ต่อมาเจ้าหน้าที่ บริษัทประกันภัยได้นำรถสไลด์มายกรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุไปไว้ที่ สภ.พุนพิน เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบหาสาเหตุ ส่วนเจนนี่และคณะ หลังตรวจร่างกายแล้วได้เปลี่ยนไปนั่งรถตู้คันเดียวกับสามี ออกจาก รพ.ท่าโรงช้าง มุ่งหน้าเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตใน จ.ตรัง ตามที่รับงานไว้

Adblock test (Why?)


ลูกทุ่งสาว "เจนนี่" รถตกข้างทาง คู่ลูกน้อยระทึก คนขับ "หลับใน" โชคดีปลอดภัย (คลิป) - ไทยรัฐ
Read More

“ฐากูร” อดีตสามี โพสต์หลังแยกทาง “เป็กกี้ ศรีธัญญา” ติดแฮชแท็กถึงฝ่ายหญิง - PPTVHD36

“แพทริค SPD” พูดแล้ว! สาเหตุจบสัมพันธ์ “เบสท์ รักษ์วนีย์” เคลียร์ข่าวลือคบซ้อน

รักร้าวอีกคู่! “เป็กกี้ ศรีธัญญา” เลิกสามี “ฐากูร” ประกาศโสด

หลังจากที่นักร้องและพิธีกรสาวมากความสามารถ “เป็กกี้ ศรีธัญญา” หรือ “เป็กกี้-ดรุณี สุทธิพิทักษ์” ออกมาประกาศโสด ปิดฉากชีวิตคู่สามีรุ่นน้อง “ฐากูร ตะเภาพงษ์” หลังแต่งงานไม่ถึงปี และคบหาดูใจในฐานะแฟนมานาน 10 ปี

ล่าสุดในวันเดียวกัน (28 ธ.ค.66) ทางฝ่ายชายก็ได้ออกมาเคลื่อนไหว ผ่านทางโซเชียลส่วนตัว ด้วยโพสต์ข้อความระบุว่า 

แหล่งที่มา: FB/เป็กกี้ ศรีธัญญา
ภาพหวานที่กลายเป็นอดีต

“ฐากูร ขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ เพื่อแจ้งข่าว ฐากูรและเป็กกี้ เราได้ตกลงตัดสินใจจบความสัมพันธ์กันมาซักระยะหนึ่งแล้ว ทั้งนี้เราทั้งคู่ขออนุญาตไม่ให้สัมภาษณ์สื่อใดๆ นะครับ กราบขออภัยไว้ ณ ตรงนี้ด้วยคับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้าใจและให้กำลังใจมากครับ ผมเองก็เป็นฐากูรคนเดิม ใครที่ยังเห็นผมสามารถทำงานอะไรได้ สามารถติดต่อผมได้ตลอดนะครับ ยินดีรับใช้ครับ ขอบคุณครับ ฐากูร ว่างมากครับ #คุณเป็กกี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับผมอีกแล้ว #ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง #ขอโทษที่ปีนี้เราไม่ได้Countdownด้วยกัน #รักเหมือนเดิม

โดยมีคนในวงการบันเทิงและแฟนๆ ของทั้งคู่ เข้ามาส่งกำลังใจให้ทั้ง “ฐากูร” และ “เป็กกี้” อย่างมากมาย

แหล่งที่มา: IG/thakoom_tpp
โพสต์จาก ฐากูร
แหล่งที่มา: FB/เป็กกี้ ศรีธัญญา
แยกทางรัก 11 ปี
2023 PPTV Top News_B 2023 PPTV Top News_B

TOP ข่าวบันเทิง

วิดีโอยอดนิยม

เรื่องที่คุณอาจพลาด

Adblock test (Why?)


“ฐากูร” อดีตสามี โพสต์หลังแยกทาง “เป็กกี้ ศรีธัญญา” ติดแฮชแท็กถึงฝ่ายหญิง - PPTVHD36
Read More

Saturday, December 30, 2023

กอศ. เปิด 5 แห่ง การศึกษาพิเศษเฉพาะทางอาชีวศึกษา - ไทยรัฐ

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประกาศสถานศึกษาเฉพาะทางด้านการศึกษาพิเศษอาชีวศึกษา จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ 1.วิทยาลัยเทคนิคบางแสน จังหวัดชลบุรี เฉพาะทางความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย 2.วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เฉพาะทางความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย และเฉพาะทางความพิการทางสติปัญญา 3.วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เฉพาะทางความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และความพิการทางการเรียนรู้ 4.วิทยาลัยสารพัดช่างสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เฉพาะทางความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และความพิการทางสติปัญญา 5.วิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีเฉพาะทางความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย

เลขาธิการ กอศ. กล่าวอีกว่า โดยสถานศึกษาเฉพาะทางด้านการศึกษาพิเศษ เป็นสถานศึกษาที่มีความพร้อมในการจัดการศึกษาพิเศษอาชีวศึกษา ทั้งด้านการจัดการเรียนการสอน สื่อ สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการจัดหอพักอยู่ประจำสำหรับผู้เรียนพิการ สร้างโอกาส และความเสมอภาคทางการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาอาชีวศึกษาของ สอศ.ประจำปีงบประมาณ 2567 ประเด็นการขับเคลื่อนการดำเนินงาน วาระงานพัฒนาที่ 1 ส่งเสริมการเรียนรู้อาชีวศึกษาทุกที่ทุกเวลา ด้านการขยายโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอาชีวศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย รวมถึงคนพิการ หรือผู้ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ เข้าถึงการศึกษาระดับอาชีวศึกษา และพัฒนาทักษะวิชาชีพได้มากยิ่งขึ้น เรื่องนี้ถือเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้พิการได้เข้าศึกษาระดับอาชีวศึกษาตามความเหมาะสมอย่างแท้จริง.

Adblock test (Why?)


กอศ. เปิด 5 แห่ง การศึกษาพิเศษเฉพาะทางอาชีวศึกษา - ไทยรัฐ
Read More

6 ข่าวเด่นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งปี 2566 - BBC.com

รูปไอน์สไตน์กับจักรวาล

ที่มาของภาพ, 24HORAS

ในรอบปี 2566 ที่ผ่านมา มีข่าวคราวเรื่องความก้าวหน้าทางวิทยาการและนวัตกรรมล้ำยุคเกิดขึ้นมากมาย โดยแวดวงฟิสิกส์อนุภาคมีการค้นพบความจริงของปฏิสสาร ส่วนวงการดาราศาสตร์พบร่องรอยของสารตั้งต้นชีวิตในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น รวมทั้งมีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นคืนคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยอัมพาต ซึ่งบีบีซีไทยรวบรวมมาให้อ่านกันอย่างจุใจดังนี้

ปฏิสสารร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง อย่างที่ไอน์สไตน์เคยทำนายไว้

นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อกันว่า ปฏิสสาร (anti-matter) มีคุณสมบัติต่าง ๆ ทางฟิสิกส์ เป็นคู่ตรงกันข้ามกับสสารธรรมดาที่เราพบเจอโดยทั่วไป รวมทั้งตอบสนองต่อความโน้มถ่วง (gravity)ในทางตรงกันข้ามด้วย ซึ่งหมายความว่าหากปล่อยปฏิสสารจากที่กักเก็บ มันจะไม่ร่วงหล่นลงพื้นแต่จะลอยขึ้นไปในอากาศแทน

ความเชื่อดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง หลังทีมนักฟิสิกส์ขององค์การวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรปหรือเซิร์น (CERN) ทำการทดลองในเครื่องเร่งอนุภาค จนพบว่าปฏิสสารนั้นตกอยู่ใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงเช่นเดียวกับสสาร โดยร่วงหล่นลงสู่พื้นเหมือนกัน ตามที่นักฟิสิกส์อัจฉริยะ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้เคยทำนายไว้ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเมื่อกว่าร้อยปีก่อน

ปฏิสสารเกิดขึ้นในเหตุการณ์บิ๊กแบง ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ที่เป็นจุดกำเนิดของเอกภพ โดยเชื่อว่าปฏิสสารเคยมีอยู่มากพอกันหรือเท่ากับสสาร แต่ปัจจุบันกลับแทบไม่เหลือปฏิสสารในจักรวาลอยู่เลย ทำให้หลายปีมานี้นักฟิสิกส์พยายามค้นหาความเหมือนและความแตกต่างระหว่างสสารกับปฏิสสาร ซึ่งอาจเป็นกุญแจไขคำตอบในเรื่องที่ว่า เอกภพถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร

อะตอมของปฏิสสารหรือ “แอนติอะตอม” (antiatom) มีโครงสร้างอนุภาคมูลฐานและประจุไฟฟ้าสลับเป็นขั้วตรงข้ามกัน โดยปฏิสสารจะมีอนุภาคประจุลบหรือ “แอนติโปรตอน” อยู่ในใจกลางหรือนิวเคลียส แทนที่จะเป็นอนุภาคโปรตอนประจุบวกเหมือนสสารปกติ ยิ่งกว่านั้นยังมีอนุภาค “โพซิตรอน” ซึ่งมีประจุบวก วิ่งวนโคจรอยู่โดยรอบนิวเคลียส แทนที่จะเป็นอนุภาคประจุลบหรืออิเล็กตรอนเหมือนในอะตอมของสสารธรรมดา

ทีมนักฟิสิกส์ของเซิร์นใช้เครื่องเร่งอนุภาคผลิตแอนติโปรตอนและโพซิตรอนขึ้น เพื่อให้มันรวมตัวกันเป็นอะตอมปฏิสสาร จากนั้นใช้สนามแม่เหล็กทรงพลังกักเก็บเอาไว้ ก่อนจะทดลองปล่อยให้เป็นอิสระ ซึ่งผลปรากฏว่าอะตอมปฏิสสารร่วงหล่นลงสู่พื้น ไม่แตกต่างไปจากอะตอมของสสารธรรมดาทั่วไป แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่า มันตกลงมาด้วยอัตราเร็วที่เท่ากับสสารหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องทำการศึกษาทดลองเพิ่มเติมกันต่อไป

ห้วงจักรวาลสั่นไหวเป็นระลอกด้วย “คลื่นความโน้มถ่วงพื้นหลัง”

ภาพจำลองการสั่นไหวและการยืดหดตัวของปริภูมิ-เวลา เนื่องจากคลื่นความโน้มถ่วง

ที่มาของภาพ, NANOGRAV

นักดาราศาสตร์ค้นพบหลักฐานโดยตรงชิ้นแรกที่ชี้ว่า การชนปะทะและรวมตัวกันของคู่หลุมดำมวลอภิมหายิ่งยวดในยุคบรรพกาล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง ทั้งยังส่งผลให้ห้วงจักรวาลทั้งหมดสั่นไหวเป็นระลอกไปทั่วด้วย “คลื่นความโน้มถ่วงพื้นหลัง” (gravitational wave background)

การยืดหดตัวของปริภูมิ-เวลา (space-time) ดังกล่าว ซึ่งคล้ายกับระลอกคลื่นที่แผ่ออกไปเป็นวงกว้างหลังมีคนโยนก้อนหินลงน้ำ มักเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ทรงพลังรุนแรงในห้วงจักรวาล อย่างเช่นการชนและรวมตัวกันของหลุมดำยักษ์ใจกลางดาราจักร ซึ่งมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์หลายพันล้านเท่า โดยจะหลงเหลือร่องรอยเป็นคลื่นกระแทกความถี่ต่ำให้เรายังคงตรวจจับได้ในทุกหนแห่งจนถึงทุกวันนี้

โครงการความร่วมมือทางดาราศาสตร์วิทยุนานาชาติ “แนวร่วมจับเวลาพัลซาร์” (PTA) ได้ติดตามวัดคาบการหมุนของซากดาวฤกษ์สิ้นอายุขัยที่หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วและเที่ยงตรงหลายร้อยครั้งต่อวินาที พร้อมทั้งส่งสัญญาณคลื่นวิทยุออกมาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พบว่ามีความบิดเบี้ยวไม่ราบเรียบอยู่ในพื้นหลังของห้วงอวกาศ โดยค่าความไม่สม่ำเสมอนั้นเล็กน้อยมาก ราว 1 ส่วนในพันล้านล้านส่วนเท่านั้น

ผลการวัดระยะทางระหว่างโลกกับพัลซาร์นับร้อยแห่ง จะเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาเล็กน้อย เมื่อระลอกคลื่นความโน้มถ่วงจากหลุมดำบรรพกาลแทรกตัวเข้ามาในแนวการส่งสัญญาณของพัลซาร์มายังโลก ทำให้ปริภูมิ-เวลาที่เป็นพื้นหลังของห้วงอวกาศยืดขยายและหดตัวอยู่เสมอ จนสัญญาณที่ส่งมาจากพัลซาร์เดินทางถึงโลกได้ช้าเร็วไม่เท่ากัน

ทีมผู้วิจัยบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์มีโอกาสสังเกตการณ์กำเนิดของอภิมหาหลุมดำยักษ์ได้โดยตรง อันเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า คู่หลุมดำมวลยิ่งยวดที่เป็นศูนย์กลางของดาราจักรยุคโบราณ ได้โคจรวนรอบกันและกันและเริ่มเขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะชนและรวมตัวเป็นหลุมดำใจกลางดาราจักรแห่งใหม่

ศ.ไมเคิล คราเมอร์ หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยบอกว่า การค้นพบครั้งนี้คือเส้นทางใหม่ในการศึกษาห้วงจักรวาล เพราะการค้นพบคลื่นความโน้มถ่วงพื้นหลัง อาจช่วยพิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎีความโน้มถ่วงของไอน์สไตน์ ทั้งยังอาจจะบอกได้ว่าสสารมืดและพลังงานมืดคืออะไร ซึ่งจะนำไปสู่การค้นพบทฤษฎีใหม่ของฟิสิกส์ก็เป็นได้

สารตั้งต้นชีวิตจากดวงดาวอันไกลโพ้น

ในปีนี้นักชีวดาราศาสตร์จากหลายองค์กรและสถาบันวิจัยทั่วโลก ต่างค้นพบร่องรอยของสารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการให้กำเนิดชีวิต บนดาวเคราะห์บริวารและดาวเคราะห์น้อยหลายดวงในระบบสุริยะ

ภาพจำลองพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปาที่เป็นน้ำแข็ง และดาวพฤหัสบดีที่ขอบฟ้า

ที่มาของภาพ, NASA

มีการค้นพบธาตุฟอสฟอรัส (P) หนึ่งในหกธาตุสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของสารอินทรีย์ ในรูปของเกลือโซเดียมฟอสเฟต (NA3PO4) ที่ละลายน้ำได้ บนดวงจันทร์เอนเซลาดัส (Enceladus) ของดาวเสาร์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบแร่ธาตุสำคัญดังกล่าว ภายในมหาสมุทรของดาวดวงอื่นนอกเหนือจากโลก

นักวิทยาศาสตร์พบสารอินทรีย์ดังกล่าวในเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งยานแคสสินีเก็บได้จากวงแหวนของดาวเสาร์ โดยพวกเขาสันนิษฐานว่า มันมาจากไอน้ำร้อนที่พวยพุ่งขึ้นจากมหาสมุทรใต้พื้นผิวน้ำแข็งของเอนเซลาดัส

เกลือโซเดียมฟอสเฟตนี้มีความเข้มข้นมาก จนคาดได้ว่าน่าจะมีอยู่ในมหาสมุทรของเอนเซลาดัส ในปริมาณที่สูงกว่ามหาสมุทรบนโลกถึงกว่า 100 เท่า โดยธาตุฟอสฟอรัสนั้นมีบทบาทสำคัญในการผลิตกรดอะมิโน ซึ่งเป็นโมเลกุลพื้นฐานที่นำไปสู่การสร้างโปรตีน อันเป็นสารตั้งต้นที่ให้กำเนิดสรรพชีวิตบนโลก

ด้านทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติอีกคณะหนึ่ง ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เว็บบ์ (JWST) ตรวจสอบดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) ของดาวพฤหัสบดี จนพบร่องรอยของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่า สารอินทรีย์นี้มาจากสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรใต้พื้นผิวเยือกแข็ง

คาร์บอนไดออกไซด์ดังกล่าวอยู่ในรูปของน้ำแข็งแห้ง พบในบริเวณที่นักดาราศาสตร์เรียกกันว่า “พื้นที่แห่งความปั่นป่วน” (chaos region) ซึ่งผืนน้ำแข็งที่ปกคลุมมหาสมุทรในตำแหน่งนี้ถูกรบกวน จนทำให้มีการเคลื่อนที่ไหลเวียนของสสาร ระหว่างผืนน้ำแข็งด้านบนกับมหาสมุทรด้านล่างได้

นอกจากนี้ยานสำรวจโอไซริส-เร็กซ์ (OSIRIS-Rex) ขององค์การนาซา ยังสามารถเก็บตัวอย่างเศษฝุ่นละอองและก้อนหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู (Bennu) ที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 2,000 ล้านกิโลเมตร กลับมายังโลกได้สำเร็จ ซึ่งผลวิเคราะห์พบโมเลกุลน้ำและสารประกอบคาร์บอนในปริมาณสูง อันเป็นหลักฐานสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า สารตั้งต้นชีวิตนั้นมากับดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลกในยุคดึกดำบรรพ์ โดยดาวเคราะห์น้อยเบนนูนั้นมีอายุเก่าแก่กว่าโลกหลายร้อยล้านปี

ย้อนรอยวิวัฒนาการเอกภพจนเฉียดใกล้ “บิ๊กแบง” มากขึ้นอีก

ในรอบปีที่ผ่านมา กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เว็บบ์ (JWST) สามารถตรวจจับและบันทึกภาพรังสีอินฟราเรดของกาแล็กซียุคบรรพกาล ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 13,500 ล้านปีได้หลายแห่ง โดยกาแล็กซีเหล่านี้ล้วนมีมวลมหาศาลและมีขนาดใหญ่มหึมายิ่งกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ถือกำเนิดหลังเหตุการณ์บิ๊กแบงผ่านไปได้เพียง 300-500 ล้านปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ไม่นานนักสำหรับวิวัฒนาการของจักรวาล

ภาพตัวอย่างของกาแล็กซีหลายพันแห่งที่กล้อง JWST ได้ทำการสำรวจ

ที่มาของภาพ, ESA / NASA / CSA / WEBB

บางส่วนของกาแล็กซีโบราณเหล่านี้ เกิดขึ้นในยุค Reionization ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จักรวาลเริ่มมีแสงสว่างเรืองรอง เนื่องจากมีการสร้างดาวฤกษ์ดวงแรก อย่างไรก็ตาม ดาวฤกษ์เหล่านี้มีขนาดค่อนข้างเล็กและยังไม่มีองค์ประกอบเป็นธาตุหนักหรือแร่ธาตุที่มีโครงสร้างซับซ้อน เพราะถือกำเนิดขึ้นมาจากอะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลียม ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในจักรวาลยุคแรกเริ่ม

ดาวฤกษ์ในกาแล็กซียักษ์อายุเก่าแก่ มีอัตราการก่อกำเนิดสูงมากจนน่าประหลาดใจ เพราะเป็นสภาพการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคที่จักรวาลยังมีอายุน้อย ซึ่งการที่กาแล็กซีในยุคนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วเกินคาด สามารถจะเป็นข้อบ่งชี้ว่า พวกมันอาจถือกำเนิดขึ้นก่อนช่วงเวลาที่เคยประมาณการกันไว้หลายล้านปีก็เป็นได้

นักดาราศาสตร์เรียกกาแล็กซีเหล่านี้ว่า “ตัวทำลายเอกภพ” (universe breaker) เพราะลักษณะที่แปลกประหลาดของมันผิดไปจากสิ่งที่ควรจะเป็นตามขั้นตอนวิวัฒนาการของเอกภพ ซึ่งทฤษฎีแบบจำลองจักรวาลวิทยาในปัจจุบันได้ทำนายเอาไว้

ทีมนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ซึ่งทำการวิจัยเรื่องนี้ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่กาแล็กซีซึ่งก่อตัวขึ้นขณะที่เอกภพยังมีอายุเพียง 3% ของทุกวันนี้ จะมีมวลมากและมีขนาดใหญ่มหึมาเท่ากับดาราจักรรุ่นหลังอย่างกาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งหากการค้นพบในครั้งนี้ไม่ผิดพลาด เราอาจต้องทบทวนหลักทฤษฎีของแบบจำลองจักรวาลวิทยาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเสียใหม่

ทีมผู้วิจัยกล่าวสรุปว่า “ยุคมืดที่จักรวาลยังไร้ดวงดาวนั้น อาจไม่ได้มืดสนิทเสียทีเดียว เอกภพในยุคแรกเริ่มอาจเต็มไปด้วยการก่อตัวของดาวฤกษ์และดาราจักร ซึ่งเกิดขึ้นเร็วกว่าที่นักดาราศาสตร์เคยประเมินเอาไว้”

สร้างตัวอ่อนมนุษย์เทียมสำเร็จ โดยไม่ใช้สเปิร์มหรือไข่

จุดสีฟ้าคือตัวอ่อนหรือเอ็มบริโอ สีเหลืองคือถุงไข่แดง และสีชมพูคือเซลล์รก

ที่มาของภาพ, WEIZMANN INSTITUTE OF SCIENCE

สถาบันวิทยาศาสตร์ไวซ์มานน์ของอิสราเอล (WIS) ประสบความสำเร็จในการสังเคราะห์สิ่งที่คล้ายกับเอ็มบริโอหรือตัวอ่อนมนุษย์ โดยไม่ต้องใช้สเปิร์ม ไข่ หรือมดลูกแต่อย่างใด

ทีมนักวิจัยของสถาบันดังกล่าวระบุว่า ตัวอ่อนมนุษย์เทียมหรือ “แบบจำลองเอ็มบริโอ” ชิ้นนี้ สร้างขึ้นโดยใช้สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดเป็นส่วนประกอบ จนออกมาเป็นกลุ่มเซลล์ที่หน้าตาคล้ายคลึงกับตัวอ่อนมนุษย์อายุ 14 วันอย่างมาก ทั้งสามารถผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ผลตรวจการตั้งครรภ์เป็นบวก เหมือนกับตัวอ่อนของจริงได้อีกด้วย

นักวิทยาศาสตร์ใช้สเต็มเซลล์ที่ยังไม่เจริญไปเป็นอวัยวะต่าง ๆ มากระตุ้นให้แปรสภาพด้วยสารเคมี จนกลายเป็นเซลล์ 4 ประเภทที่จำเป็นต่อการก่อกำเนิดตัวอ่อนมนุษย์ ได้แก่เซลล์ของตัวอ่อนเอง, เซลล์ที่จะเจริญไปเป็นถุงไข่แดงและรก, รวมทั้งเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อของถุงหุ้มตัวอ่อนในขั้นต้น โดยทั้งหมดจะถูกนำมาผสมรวมกันในเครื่องเขย่าสาร จนก่อตัวเป็นโครงสร้างที่คล้ายตัวอ่อนมนุษย์ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของตัวอ่อนเทียมจะยังไม่เจริญขึ้น จนกว่าเซลล์รกจะขยายตัวเข้าห่อหุ้มไว้ทั้งหมดเสียก่อน ดังนั้นกลุ่มเซลล์ที่มีอายุเพียง 14 วัน จึงยังไม่มีลักษณะของทารกที่ชัดเจน และจะถูกทำลายทิ้งเนื่องจากกฎหมายในหลายประเทศกำหนดว่า การวิจัยตัวอ่อนมนุษย์ไม่สามารถดำเนินไปไกลได้มากกว่านั้นแล้ว

จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างตัวอ่อนเทียมดังกล่าว คือการเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาขั้นตอนเริ่มแรกของการสร้างอวัยวะในมนุษย์ โดยอยู่ภายใต้กรอบจริยธรรมการวิจัยซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมทั้งมีโอกาสทำความเข้าใจกระบวนการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูก, สาเหตุของการแท้งบุตร, วิธีรักษาครรภ์ให้ปลอดภัย, และหนทางพัฒนาเทคนิคการทำเด็กหลอดแก้ว

นวัตกรรมการแพทย์ชุบชีวิตผู้ป่วยอัมพาต

ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว สามารถเปล่งเสียงพูดสื่อสารกับคนรอบข้าง และแสดงอารมณ์ด้วยสีหน้าแบบต่าง ๆ ได้อีกครั้ง หลังใช้อุปกรณ์แปลงสัญญาณความคิดในสมอง ให้กลายเป็นการสนทนาผ่านร่างอวตารบนจอคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ผู้ป่วยอัมพาตสามารถจะพูดสื่อสารความคิดได้ ผ่าน “อวตาร” บนจอคอมพิวเตอร์

ที่มาของภาพ, NOAH BERGER

ทีมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานฟรานซิสโก (UCSF) ของสหรัฐฯ ใช้โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) แปลงสัญญาณไฟฟ้าในสมองส่วนที่ควบคุมการพูดและการเคลื่อนไหวบนใบหน้า ให้กลายเป็นร่างอวตารบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งร่างอวตารนี้จะพูดสิ่งที่ผู้ป่วยคิดออกมา โดยใช้เสียงจริงของผู้ป่วยเองที่เคยบันทึกไว้ในอดีตเป็นต้นแบบ ทั้งยังแสดงสีหน้าที่ผู้ป่วยต้องการเช่นยิ้มแย้ม, ขมวดคิ้วนิ่วหน้า, หรือทำตาโตอ้าปากค้างเพื่อแสดงความแปลกใจได้ด้วย

ผู้ป่วยจะต้องรับการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าขนาดเล็ก 253 ชิ้น ลงบนผิวสมองเหนือส่วนที่ควบคุมการพูด และต้องมีการฝึกฝนให้เอไอเรียนรู้การแปลงสัญญาณเป็นคำพูดได้คล่องแคล่วและถูกต้องแม่นยำขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ป่วยที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถพูดสนทนาผ่านร่างอวตารได้ด้วยความเร็ว 78 คำต่อนาที ซึ่งถือว่าเร็วขึ้นมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีแบบเก่า และถือว่าเร็วพอสมควรเมื่อเทียบกับการสนทนาในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ซึ่งมีความเร็วเฉลี่ย 110-150 คำต่อนาที

ส่วนสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสที่นครโลซานน์ (EPFL) ประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้ป่วยอัมพาตชายวัย 40 ปี กลับมาเดินได้อีกครั้ง หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนไม่อาจขยับเขยื้อนขาและเท้าได้มานานถึง 12 ปี

ผู้ป่วยอัมพาตกลับมาเดินได้อีกครั้ง หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายสมองอิเล็กทรอนิกส์

ที่มาของภาพ, EPFL

ผู้ป่วยคนดังกล่าวเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่าย “สมองอิเล็กทรอนิกส์” ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นจานวงกลมขนาดเล็ก 2 ชิ้น เข้าไปฝังในสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อถ่ายทอดสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นขณะผู้ป่วยคิดจะก้าวเดิน ไปยังอุปกรณ์ชิ้นที่ 2 ซึ่งติดตั้งที่กระดูกสันหลังบริเวณปลายระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเดิน เพื่อให้เอไอแปลงสัญญาณที่ส่งมาแบบไร้สายเป็นชุดคำสั่งการเคลื่อนไหว ส่งผลให้ขาและเท้าขยับได้ตามที่คิด

หลังเข้ารับการผ่าตัดและฝึกเดินเพียงไม่กี่สัปดาห์ ผู้ป่วยสามารถยืนทรงตัวและก้าวเดินได้โดยใช้ไม้เท้าช่วย ซึ่งแม้การเคลื่อนไหวจะค่อนข้างช้า แต่ก็ลื่นไหลเป็นธรรมชาติอย่างน่าพอใจทีเดียว

Adblock test (Why?)


6 ข่าวเด่นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งปี 2566 - BBC.com
Read More

ลูกทุ่งสาว "เจนนี่" รถตกข้างทาง คู่ลูกน้อยระทึก คนขับ "หลับใน" โชคดีปลอดภัย (คลิป) - ไทยรัฐ

ระทึกส่งท้ายปี “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” นักร้องลูกทุ่งและเจ้าของค่ายเพลงดัง พาลูกสาว “น้องยูจิน” นั่งรถอัลพาร์ดล่องใต้ ออกจากกรุงเทพฯจะไปเล่นคอนเสิร์ตใน จ.ตรัง ประสบอุบัติเหตุรถหรูพลิกคว่ำตกข้างทางที่ จ.สุราษฎร์ฯ ต้องปีนออกทางหน้าต่าง สามีนั่งรถตู้ตามหลังมารีบพาส่งโรงพยาบาล ผลเอกซเรย์ทั้ง 4 คนในรถปลอดภัย ก่อนบึ่งไปแสดงคอนเสิร์ตตามที่รับงานไว้ ตำรวจคาดคนขับอาจวูบ หลับในเพราะบนถนนไม่มีรอยเบรก

แฟนคลับโล่งใจ นักร้องลูกทุ่งสาวพร้อมลูกน้อยปลอดภัย หลังประสบอุบัติเหตุรถหรูพุ่งตกข้างทางขณะจะไปแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 29 ธันวาคม ศูนย์วิทยุ สภ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุรถยนต์พลิกคว่ำตกข้างทาง ถนนทางหลวงเอเชีย 41 ขาล่องใต้ บริเวณหน้าโรงงานกว๋างเซิน รับเบอร์ (ไทยเซาท์เทิร์น) จำกัด หมู่ 1 ต.ท่าโรงช้าง อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เบื้องต้นทราบว่าเป็นรถยนต์ของ น.ส.รัชนก สุวรรณเกตุ หรือ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” กับครอบครัว รายงาน พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เจริญรูป รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.พุนพิน พร้อมประสานกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี ไปตรวจที่เกิดเหตุและช่วยเหลือ

จุดเกิดเหตุเป็นทางโค้งเล็กน้อย พบรถยนต์โตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน 9 กม 6975 กรุงเทพมหานคร เสียหลักตกข้างถนนในสภาพพลิกตะแคงด้านขวา กันชนหน้ายุบ หลังคาหลังด้านซ้ายยุบ กระจกห้องโดยสารด้านหลังซ้ายแตก ในรถมีผู้ประสบเหตุ 4 คน ปีนออกมานั่งรออยู่ข้างรถ ประกอบด้วย นายศิริวัฒน์ จริงจิตร อายุ 29 ปี คนขับรถ น.ส.รัชนก หรือเจนนี่ สุวรรณเกตุ อายุ 28 ปี นักร้องลูกทุ่งชื่อดังและเจ้าของค่ายเพลงได้หมดถ้าสดชื่น ด.ญ.ฉัตรชนก หรือน้องยูจิน สมแก้ว วัย 1 ขวบ 7 เดือน ลูกสาวของเจนนี่ และ น.ส.ราชาวดี เพียรดี อายุ 28 ปี ทั้ง 4 คน ไม่มีบาดแผลตามร่างกาย มีอาการปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอก ในที่เกิดเหตุมีนายฉัตรมงคล หรือยิว สมแก้ว สามีเจนนี่ นั่งรถตู้อีกคันตามหลังมาทัน และนำทั้ง 4 คน ส่งไปตรวจร่างกายที่ รพ.ท่าโรงช้าง ผลเอกซเรย์ทุกคนปลอดภัยดี

จากการสอบสวนทราบว่า รถยนต์ในคณะของเจนนี่มีประมาณ 3-4 คัน เพิ่งเสร็จจากงานคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ และกำลังเดินทางจะไปเล่นคอนเสิร์ตต่อคืนนี้ที่ จ.ตรัง ก่อนจะกลับไปบ้านใน จ.นครศรีธรรมราช ระหว่างทางรถคันที่เจนนี่และลูกสาวนั่งมาได้ประสบอุบัติเหตุแหกโค้งตกข้างทาง โชคดีคนในรถทุกคนปลอดภัย ตำรวจกำลังสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง เบื้องต้นสันนิษฐานคนขับอาจหลับในเพราะขับรถระยะทางไกลและบนถนนไม่มีรอยเบรก ต่อมาเจ้าหน้าที่ บริษัทประกันภัยได้นำรถสไลด์มายกรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุไปไว้ที่ สภ.พุนพิน เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบหาสาเหตุ ส่วนเจนนี่และคณะ หลังตรวจร่างกายแล้วได้เปลี่ยนไปนั่งรถตู้คันเดียวกับสามี ออกจาก รพ.ท่าโรงช้าง มุ่งหน้าเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตใน จ.ตรัง ตามที่รับงานไว้

Adblock test (Why?)


ลูกทุ่งสาว "เจนนี่" รถตกข้างทาง คู่ลูกน้อยระทึก คนขับ "หลับใน" โชคดีปลอดภัย (คลิป) - ไทยรัฐ
Read More

Friday, December 29, 2023

รถตู้หรู “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ตกข้างทาง คาดคนขับหลับใน ล่าสุดออกจากโรงพยาบาลแล้ว - ผู้จัดการออนไลน์



สุราษฎร์ธานี - คาดคนขับหลับใน รถตู้หรู “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” พลิกตะแคงตกถนนที่สุราษฎร์ฯ นักร้องดัง พร้อมลูกสาว ต้องปีนจากรถ ล่าสุดเดินทางต่อไปจังหวัดตรัง ขณะ “ยิว” ห่วงลูกสาว “น้องยูนจิน” รีบอุ้มปลอบขวัญ


จากกรณีเมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (29 ธ.ค.) ศูนย์วิทยุ สภ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุรถยนต์พลิกคว่ำตกข้างทาง ถนนทางหลวงเอเชีย 41 ขาล่องใต้ หน้าโรงงาน กว๋างเซิน รับเบอร์ (ไทยเซาท์เทิร์น) จำกัด ท้องที่หมู่ 1 ต.ท่าโรงช้าง อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เบื้องต้นทราบว่าเป็นรถยนต์ ของรัชนก สุวรรณเกตุ หรือเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น กับครอบครัว จึงรายงาน พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เจริญรูป รอง ผกก.สอบสวน สภ.พุนพินและกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี ไปตรวจที่เกิดเหตุและช่วยเหลือ

ที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งเล็กน้อย พบรถตู้อเนกประสงค์หรูเอสยูวี ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน 9 กม 6975 กรุงเทพมหานคร เสียหลักตกข้างถนนในสภาพพลิกตะแคงด้านขวา กันชนหน้ายุบ หลังคาหลังด้านซ้ายยุบ กระจกห้องโดยสารด้านหลังซ้ายแตก ในรถมีผู้ประสบเหตุ 4 คน ที่ได้รับความช่วยเหลือปีนออกมาจากรถ


ประกอบด้วย นายศิริวัฒน์ จริงจิตร อายุ 29 ปี คนขับรถ “เจนนี่ หรือ น.ส.รัชนก สุวรรณเกตุ” อายุ 28 ปี น.ส.ราชาวดี เพียรดี อายุ 28 ปี และน้องยูนจิน ด.ญ.ฉัตรชนก สมแก้ว อายุ 1 ปี 7 เดือน ลูกสาวเจนนี่ จากการตรวจสอบในเบื้องต้น ทั้ง 4 คน ไม่มีบาดแผลใดๆ แต่มีอาการปวดเมื่อย

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุ “ยิว สามีของเจนนี่” หรือนายฉัตรมงคล สมแก้ว ซึ่งนั่งรถตู้ตามหลังมาทัน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ได้นำตัวทั้งหมดส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลท่าโรงช้าง อ.พุนพิน ผลเอกซเรย์ทุกคนปลอดภัยดี โดยยิว รีบอุ้มน้องยูนจิน ลูกสาวที่ร้องไห้ตลอดเวลา เพื่อปลอบขวัญด้วยความเป็นห่วง


จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า คณะรถตู้ของเจนนี่มีประมาณ 3-4 คัน กลับจากงานคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ และกำลังจะเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตต่อคืนนี้ (29 ธ.ค.) ที่ จ.ตรัง ก่อนจะกลับไปบ้านพักที่ จ.นครศรีธรรมราช แต่มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

ขณะที่ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เจริญรูป รอง ผกก.สอบสวน สภ.พุนพิน กล่าวว่า จากการสอบถามเบื้องต้น นายศิริวัฒน์ คนขับอ้างว่า มีอาการอ่อนเพลียจากการขับรถทางไกล จึงคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากคนขับวูบหลับชั่วคราว จนเมื่อรถเกิดเสียหลักก็ได้สติ และกลับมาบังคับรถให้ไหลลงข้างทางได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถคันที่เกิดเหตุ ได้ให้เจ้าหน้านำไปเก็บรักษาที่ สภ.พุนพิน เพื่อตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงต่อไป


อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสนชื่น “ และคณะซึ่งได้เข้าตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ล่าสุด เมื่อเวลา 16.15 น.เจนนี่ และคณะทั้งหมดได้ออกจากโรงพยาบาลท่าโรงช้างแล้ว และมุ่งหน้าเดินทางไปจังหวัดตรัง เพื่อไปเล่นคอนเสิร์ตตามที่รับงานไว้

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายนิติศักดิ์ บุญมานนท์ หัวหน้าหน่วยกู้ภัยกุศลศรัทธา กล่าวว่า ตอนนั้นได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุว่ามีเหตุรถตกลงข้างทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดภายในรถ ตนพร้อมกำลังอาสาสมัครกู้ภัยได้เดินทางไปตรวจสอบ เผื่อไปถึงพบ “เจนนี่” และครอบครัวได้ออกมาจากตัวรถแล้ว ซึ่งทุกคนนั่งอยู่ข้างรถในอาการตกใจ โดยเฉพาะ “น้องยูจิน” ลูกสาวของ “เจนนี่” ร้องไห้ด้วยความตกใจกลัว

ซึ่งในตอนนั้นจากการที่คนขับรถให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พอจะทราบได้ถึงสาเหตุว่าคนขับรถน่าจะวูบหลับใน

Adblock test (Why?)


รถตู้หรู “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ตกข้างทาง คาดคนขับหลับใน ล่าสุดออกจากโรงพยาบาลแล้ว - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

6 เรื่องสุดยอดการค้นพบทางโบราณคดีแห่งปี 2566 - BBC.com

เหตุการณ์ที่จักรพรรดินีโรร้องเพลงและเล่นดนตรีขณะกรุงโรมมอดไหม้ อาจไม่ใช่เรื่องจริง (ภาพพิมพ์แกะไม้ลงสีโดย Tito Conti ศิลปินชาวอิตาเลียน)

ที่มาของภาพ, GETTY IMAGES

ในรอบปี 2566 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มีการค้นพบทางโบราณคดีอันน่าทึ่งมากมายเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพบเจอหลักฐานที่ทำให้เราต้องฉีกตำราประวัติศาสตร์ รวมทั้งเปิดเผยถึงความสามารถอันล้ำยุคล้ำสมัยเกินคาดของคนโบราณมากเป็นพิเศษในปีนี้ ซึ่งบีบีซีไทยรวบรวมมาให้ได้อ่านกันอย่างจุใจถึง 6 เรื่องด้วยกัน

โครงสร้างไม้เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น

โครงสร้างไม้อายุเกือบห้าแสนปี ถูกฝังอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำกาลัมโบในประเทศแซมเบีย

ที่มาของภาพ, LARRY BARHAM

อาชีพช่างไม้นั้นอาจถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของโลก และช่างไม้คนแรกก็อาจมีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศแซมเบียในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาเมื่อหลายแสนปีก่อน เพราะในปีนี้ทีมนักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ค้นพบโครงสร้างไม้อายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้นมา ถูกฝังอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำกาลัมโบ (Kalambo River) ในประเทศดังกล่าว

ทีมสำรวจซึ่งนำโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลของสหราชอาณาจักร พบขอนไม้ที่ประสานเชื่อมต่อกันด้วยรอยบาก ซึ่งชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากการตัดไม้อย่างจงใจด้วยฝีมือมนุษย์ หลักฐานแวดล้อมยังทำให้พวกเขาสันนิษฐานได้ด้วยว่า ขอนไม้ที่นำมาขัดประสานกันนี้ อาจก่อขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของทางเดิน หรือฐานของโครงสร้างยกพื้นเหนือดินที่ชื้นแฉะในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำดังกล่าว

ก่อนหน้านี้โครงสร้างไม้เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ถูกพบในทางตอนเหนือของอังกฤษ โดยมีอายุเก่าแก่เพียง 11,000 ปี ในขณะที่โครงสร้างไม้ซึ่งถูกค้นพบในครั้งนี้ มีอายุเก่าแก่ถึง 476,000 ปี นับว่าเก่าโบราณยิ่งกว่าต้นกำเนิดของมนุษย์ยุคใหม่หรือโฮโมเซเปียนส์ถึง 150,000 ปี

ทีมนักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้นสันนิษฐานว่า โครงสร้างไม้นี้น่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับเรา อย่าง Homo heidelbergensis ซึ่งน่าประหลาดใจว่า มนุษย์โบราณเผ่าพันธุ์ดังกล่าวที่ชอบอพยพโยกย้ายถิ่นฐานไปทั่ว กลับประดิษฐ์โครงสร้างไม้ที่แสดงถึงการลงหลักปักฐาน โดยตั้งบ้านเรือนและชุมชนขึ้นอย่างถาวรหรือกึ่งถาวรในสถานที่เพียงแห่งเดียว

นอกจากโครงสร้างไม้ดังกล่าวแล้ว ยังมีการค้นพบขวานหิน, ขอนไม้ที่ถูกทำให้มีรูปทรงแบนราบลง, และเครื่องมือทำจากไม้ 4 ชิ้น ที่มีอายุเก่าแก่ระหว่าง 324,000 -390,000 ปี ในบริเวณใกล้เคียงด้วย โดยร่องรอยที่พบบนขอนไม้ท่อนหลังนี้ ไม่ต่างจากรอยขุดหรือรอยแหว่งในเนื้อไม้ ซึ่งมักเกิดจากการใช้อุปกรณ์บนโต๊ะทำงานของช่างไม้เลย

แผ่นกระดาษจากหนังสือเล่มแรกของโลก

กระดาษพาไพรัส (papyrus) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อของกระดาษปาปิรุส คือวัสดุที่ชาวอียิปต์โบราณใช้วาดภาพและเขียนตัวอักษรของเอกสารต่าง ๆ ซึ่งในปีนี้มีการค้นพบชิ้นส่วนพาไพรัสขนาด 10 X 6 นิ้ว ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าสองพันปี โดยมีร่องรอยบ่งชี้ปรากฏอยู่ว่า มันน่าจะเป็นแผ่นกระดาษหน้าหนึ่งจากหนังสือเล่มแรกของโลก

ทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกราซของออสเตรียระบุว่า อันที่จริงมีการค้นพบแผ่นกระดาษพาไพรัสนี้ครั้งแรก เมื่อกว่าร้อยปีก่อนตั้งแต่ ค.ศ.1902 ที่เมืองเอลฮิเบห์ (El Hibeh) ในประเทศอียิปต์ แต่เพิ่งจะสืบทราบถึงประวัติความเป็นมาของมันได้อย่างชัดเจนเมื่อไม่นานมานี้

ชิ้นส่วนแผ่นกระดาษพาไพรัสจากหนังสือเล่มแรกของโลก

ที่มาของภาพ, UNIVERSITY OF GRAZ

ชิ้นส่วนของแผ่นพาไพรัสดังกล่าว เคยเป็นหน้าหนึ่งของหนังสือที่เย็บรวมเอกสารหลายชิ้นเข้าด้วยกัน โดยหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาว่าด้วยอัตราการจัดเก็บภาษีสำหรับเบียร์และน้ำมันเป็นหลัก ทำขึ้นด้วยการใช้หมึกดำเขียนเป็นตัวอักษรกรีก เมื่อราว 260 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2,283 ปีมาแล้ว

หลังอยู่ในหนังสือเล่มแรกของโลกได้ระยะหนึ่ง แผ่นกระดาษนี้ก็ถูกฉีกออก แล้วส่งเป็นจดหมายไปถึงนายอากรหรือลูกหนี้ที่ยังคงติดค้างการจ่ายภาษีอยู่ ก่อนจะมีผู้นำไปรีไซเคิลเพื่อเอากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่อีกครั้ง โดยมีการวาดภาพทวยเทพลงไปก่อนนำไปห่อมัมมี่ ตามธรรมเนียมที่นิยมกันในยุคราชวงศ์ทอเลมี (Ptolemy) ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองอียิปต์โบราณ ก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน

ทีมนักโบราณคดีทราบว่าแผ่นกระดาษนี้มาจากหนังสือที่ถูกเย็บเป็นเล่มมาก่อน เพราะใช้กล้องจุลทรรศน์และอุปกรณ์ถ่ายภาพแบบมัลติสเปกตรัม (multispectral imaging) ซึ่งสามารถเก็บรายละเอียดที่อยู่ลึกลงไปในเนื้อกระดาษได้ด้วยความคมชัดสูง เข้าช่วยค้นหาร่องรอยต่าง ๆ ที่ชี้ถึงกระบวนการออกแบบและเย็บเล่มหนังสือในยุคโบราณได้

ผลการตรวจสอบปรากฏว่า แผ่นพาไพรัสนี้มีการออกแบบวางเลย์เอาต์ (layout) ให้สามารถพับครึ่งแบ่งแยกเนื้อหาจนกลายเป็นสองหน้ากระดาษ เพื่อนำไปเข้ารวมเล่มเป็นหนังสือด้วยการเจาะรูตรงกลาง แล้วใช้วัสดุคล้ายตะปูที่ยืดหยุ่นได้มายึดเอาไว้ ซึ่งแทบไม่ต่างจากการเข้าเล่มด้วยสันหนังสือที่เป็นห่วงวงแหวนในสมัยนี้

ก่อนการค้นพบที่มาของแผ่นพาไพรัสดังกล่าว หนังสือเล่มเก่าแก่ที่สุดของโลกมาจากยุคคริสต์ศตวรรษที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น แต่หลังจากการค้นพบครั้งนี้ นักโบราณคดีได้ทราบว่าการเย็บเล่มเอกสารให้กลายเป็นหนังสือนั้น มีมานานกว่าที่เคยคิดกันอย่างน้อย 400 ปี

โรงละครที่จักรพรรดินีโรใช้แสดงคอนเสิร์ต

ผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันโบราณที่มีชื่อเสียงในเรื่องความบ้าบิ่นมากที่สุด เห็นจะไม่มีใครเกินจักรพรรดินีโรหรือเนโร (Nero) อย่างแน่นอน เพราะเขาคือหนึ่งในผู้นำที่มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งกล้าแสดงทักษะความเป็นศิลปินในตัวออกมาอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พิเศษไม่เหมือนใคร อย่างเช่นที่เล่าลือกันมาว่า นีโรเฝ้ามองกรุงโรมที่กำลังมอดไหม้ในกองเพลิง ระหว่างที่ดีดเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งคลอไปด้วย

ซากโรงละครที่จักรพรรดินีโรใช้ขับขานบทเพลงให้ประชาชนพลเมืองได้ฟัง

ที่มาของภาพ, SOPRINTENDENZA SPECIALE ROMA

แม้ตำนานดังกล่าวอาจไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะเริ่มมีการค้นพบหลักฐานใหม่ที่ชี้ว่า จักรพรรดิพระองค์นี้มีจิตใจเมตตาต่อประชาชนยิ่งกว่าที่ฝ่ายศัตรูได้เขียนบิดเบือนประวัติศาสตร์เอาไว้ แต่ความเป็นศิลปินผู้มีอารมณ์สุนทรีย์อยู่เสมอของนีโรนั้น ไม่อาจปฏิเสธได้โดยง่าย เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานยืนยันที่เป็นรูปธรรมหลายชิ้น รวมถึงโรงละครที่นีโรใช้ “แสดงคอนเสิร์ต” โชว์น้ำเสียงอันไพเราะเป็นบทเพลงขับกล่อมพลเมืองชาวโรมันด้วย

โรงละครดังกล่าวเป็นเวทีส่วนตัวที่สร้างขึ้นในสวนของ “อะกริปพีนา” (Agrippina) มารดาของจักรพรรดินีโร ซึ่งสวนนี้ตั้งอยู่ในบริเวณของคฤหาสน์หรูชานกรุงโรม ใกล้กับพื้นที่ของนครรัฐวาติกันในปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีไม่ทราบถึงที่ตั้งของเวทีดังกล่าว แม้นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันโบราณหลายรายจะได้จดบันทึกถึงสถานที่แห่งนี้เอาไว้ อย่างเช่นที่ทาซิตุส (Tacitus) ได้ระบุว่า นีโรเคยขับขานบทเพลงเกี่ยวกับการล่มสลายของกรุงทรอย ระหว่างที่เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในกรุงโรม เมื่อปีค.ศ. 64 ณ “โรงละครที่ก่อขึ้นด้วยอิฐในสวนของอะกริปพีนา”

ผลการขุดค้นซากโครงสร้างยุคโรมัน ที่หลงเหลืออยู่ในสวนสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนซองส์แห่งหนึ่ง พบว่ามีโรงละครที่ลักษณะตรงกับคำบรรยายที่ระบุไว้ในประวัติศาสตร์ โดยเป็นเวทีซึ่งมีที่นั่งของผู้ชมวางเป็นรูปครึ่งวงกลมกว้าง 42 เมตร พร้อมทั้งมีพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ประกอบด้วยทางเข้าออกและบันได และยังมีอาคารอีกแห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่เก็บฉากและเสื้อผ้าของศิลปินนักแสดงด้วย

มีร่องรอยการประดับตกแต่งโรงละครนี้อย่างหรูหรา ด้วยหินอ่อนสีขาวและแผ่นทองคำ เนื่องจากสิ่งก่อสร้างนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอาคารขนาดใหญ่ ที่จะช่วยประกาศศักดาและเชิดชูเกียรติของจักรพรรดินีโรให้แผ่ไพศาลนั่นเอง

หลักฐานชี้มี “พุทธศาสนิกชน” ในอียิปต์ยุคโรมัน

คนทั่วไปเชื่อกันว่าดินแดน “พุทธภูมิ” ซึ่งหมายถึงพื้นที่อันเป็นต้นกำเนิดและมีผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักอยู่จำนวนมาก ในอดีตมีอาณาเขตจำกัดอยู่แค่ในทวีปเอเชียเท่านั้น แต่ปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวต้องสั่นคลอน หลังมีการค้นพบหลักฐานที่ยืนยันว่า มีชุมชนชาวพุทธในทวีปแอฟริกา ณ เมืองท่าสำคัญของอียิปต์เมื่อกว่าสองพันปีก่อน

พระพุทธรูปที่พบในอียิปต์ มีลักษณะคล้ายกับศิลปะคันธารราฐ (Ghandara) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกรีก

ที่มาของภาพ, MINISTRY OF ANTIQUITIES

ทีมนักโบราณคดีนานาชาติ นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบันวิจัยในสหรัฐฯ รวมทั้งศูนย์โบราณคดีภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนของโปแลนด์ (PCMA) แถลงว่าได้ค้นพบพระพุทธรูปอายุเก่าแก่ราว 1,900 - 2,000 ปี ขณะตรวจสอบซากวิหารโบราณของเมืองเบเรนิเก (Berenike) หรือเบเรนิซ (Berenice) ซึ่งเป็นเมืองท่าริมฝั่งทะเลแดงของอียิปต์

พระพุทธปฏิมาดังกล่าวอยู่ในปางประทับยืน มีความสูง 71 เซนติเมตร สลักขึ้นจากหินอ่อนเมดิเตอร์เรเนียน พระหัตถ์ซ้ายกุมจีวร ส่วนพระเศียรมีรัศมีเป็นแฉกคล้ายแสงอาทิตย์ และมีดอกบัวประดับอยู่ข้างองค์พระด้วย ทำให้มีลักษณะคล้ายกับศิลปะคันธารราฐ (Ghandara) ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก นับเป็นพระพุทธรูปองค์แรกที่ถูกค้นพบในซีกโลกตะวันตกที่อยู่เลยเขตแดนของประเทศอัฟกานิสถานออกไป

ทีมนักโบราณคดีเชื่อว่า ช่างแกะสลักในเมืองอเล็กซานเดรียของอียิปต์อาจเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปนี้ เพื่อให้ชุมชนของพ่อค้าอินเดียที่ลงหลักปักฐานในเมืองเบเรนิเกได้นำไปบูชา นับเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่ามีพุทธศาสนิกชนอยู่ในอาณาจักรอียิปต์โบราณ ทั้งยังแสดงถึงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียกับอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่อียิปต์อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน

ก่อนหน้านี้มีการค้นพบศิลาจารึกภาษาสันสกฤต และไหบรรจุเม็ดพริกไทยจากอินเดียอายุเก่าแก่ 1,900 ปี ที่เมืองเบเรนิเกมาแล้ว โดยเรือที่มาจากอินเดียจะนำสินค้าจำพวกเครื่องเทศ หินกึ่งมีค่า ผ้าไหม และงาช้าง มาจำหน่ายที่เมืองท่าแห่งนี้เป็นประจำ จนกระทั่งเมืองถูกทิ้งร้างไปในช่วงปี ค.ศ. 600

ซากเครื่องแกงเผ็ดสูตรดั้งเดิมเริ่มแรกในอุษาคเนย์

แกงเผ็ดแบบต่าง ๆ หรือแกงกะหรี่รสชาติจัดจ้านเข้มข้น ซึ่งเชื่อกันว่าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารในวัฒนธรรมของชาวภารตะนั้น แท้จริงเริ่มมีการนำเข้าสูตรการปรุง รวมทั้งวัตถุดิบที่เป็นเครื่องเทศจากต่างแดนตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ ?

แกงที่มีรสชาติเผ็ดร้อนในยุคเริ่มแรกของอุษาคเนย์ ยังไม่มีพริกเป็นส่วนประกอบเหมือนกับแกงเผ็ดในสมัยนี้

ที่มาของภาพ, GETTY IMAGES

ทีมนักโบราณคดีจากเวียดนาม จีน และออสเตรเลีย เผยแพร่การค้นพบล่าสุดในวารสาร Science Advances โดยระบุว่าซากเครื่องแกงที่พบบนแท่นหินบดสมุนไพรอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี จากแหล่งขุดค้นทางโบราณคดี “อ็อกแอว” (Oc Eo) ในภาคใต้ของเวียดนาม ชี้ว่าเริ่มมีการใช้เครื่องเทศที่นำเข้าจากอินเดียหรืออินโดนีเซียมาประกอบอาหาร ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรฟูนัน (Funan) ที่เคยทรงอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงราวค.ศ. 300

อย่างไรก็ตาม แกงเผ็ดสูตรดั้งเดิมนี้ยังไม่มีพริกเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากพริกซึ่งมีต้นกำเนิดในอเมริกาใต้ถูกนำเข้ามายังภูมิภาคนี้ในยุคหลัง แต่ผลวิเคราะห์อนุภาคฝังแน่นที่ติดอยู่กับแท่นหินบดเครื่องแกง พบซากพืชสมุนไพรที่มีรสชาติเผ็ดร้อนจากอินเดียจำนวนมาก เช่นพริกไทย กระชาย ขิง ข่า เปราะหอม และขมิ้นชัน โดยเชื่อว่านักเดินทางและพ่อค้าผู้อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากชมพูทวีป เป็นผู้แนะนำสูตรการปรุงแกงรสชาติเผ็ดร้อนดังกล่าวให้กับชาวอุษาคเนย์ได้รู้จัก ในยุคเริ่มการติดต่อค้าขายทางทะเลระหว่างสองภูมิภาคผ่านเส้นทางในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อราว 2,000 ปีก่อน

ในยุคนั้นอาณาจักรฟูนันซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตแดนของประเทศเวียดนาม ถือเป็นสถานีการค้าสำคัญที่เชื่อมต่อจีนและเอเชียใต้เข้าด้วยกัน ทำให้มีการขุดพบแท่นหินทรายจำนวนมากในแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีอ็อกแอว ซึ่งแท่นหินนี้เป็นอุปกรณ์ใช้บดเครื่องเทศและพืชสมุนไพรหลายร้อยชนิด เพื่อนำไปประกอบอาหารตามแบบวัฒนธรรมอินเดียโบราณ

อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิดแกงเผ็ดชามแรกของโลกนั้นอยู่ในชมพูทวีป โดยก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเคยพบซากแกงเผ็ดเหลือติดก้นหม้อ และเศษเครื่องเทศที่ติดฟันมนุษย์โบราณอายุเก่าแก่กว่า 4,000 ปี ในประเทศปากีสถาน

“กุนุงปาดัง” คือพีระมิดเก่าแก่ที่สุดของโลกจริงหรือ

เหล่านักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณขั้นสูงที่สูญหาย ต้องมาถกเถียงกันอย่างดุเดือดในปีนี้ เพราะเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา วารสาร Archaeological Prospection ได้ตีพิมพ์เรื่องราวการค้นพบใหม่เกี่ยวกับเนินเขา “กุนุงปาดัง” (Gunung Padang) ในพื้นที่ทางตะวันตกของเกาะชวาของอินโดนีเซีย โดยยืนยันว่าแท้จริงแล้วเนินเขาแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงสร้างของพีระมิดขั้นบันไดขนาดยักษ์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก

กุนุงปาดัง มีความหมายว่า “ภูเขาแห่งความรู้แจ้ง” ในภาษาซุนดา

ที่มาของภาพ, MERCUSUAR

ทีมนักโบราณคดีจากสำนักวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติอินโดนีเซีย (BRIN) อ้างว่าหลักฐานจากการศึกษาวิเคราะห์ที่ยาวนานกว่าสิบปี และผลการตรวจหาอายุของดินและหินในโบราณสถานดังกล่าวด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่ากุนุงปาดังอาจถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อราว 16,000-27,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดของโลก (Last Glacial Period - LGP)

ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างปริศนาแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นก่อนที่มนุษย์จะรู้จักเกษตรกรรม และก่อนกำเนิดแหล่งอารยธรรมแรกของโลกหลายพันปี แม้แต่มหาพีระมิดแห่งกิซาที่อียิปต์ และสโตนเฮนจ์ที่สหราชอาณาจักร ก็ยังมีอายุน้อยเพียง 1 ใน 5 ของกุนุงปาดังเท่านั้น

การค้นพบน่าพิศวงนี้ทำให้คนที่เชื่อใน “สมมติฐานไซลูเรียน” (Silurian Hypothesis) พากันทึกทักว่า นี่คือหลักฐานของของอารยธรรมโบราณที่มีความเจริญรุ่งเรืองและก้าวล้ำทางเทคโนโลยียิ่งกว่ามนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งอารยธรรมที่สูงส่งนี้เคยครองโลกในยุคดึกดำบรรพ์เป็นเวลานานหลายล้านปี ก่อนการถือกำเนิดขึ้นของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีและนักธรณีวิทยาจำนวนมาก ตั้งคำถามถึงความถูกต้องในงานวิจัยข้างต้น ซึ่งดูเหมือนจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับไม่เพียงพอ ทำให้ทางวารสาร Archaeological Prospection ประกาศจะลงมือตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานวิจัยนี้อีกครั้งแล้ว

ด้านดร.ลุฟตี ยอนดรี นักโบราณคดีของ BRIN อีกผู้หนึ่ง ออกมาแสดงการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับผลวิจัยที่ “ด่วนสรุป” ว่ากุนุงปาดังคือพีระมิดเก่าแก่ที่สุดของโลก เพราะชาวอินโดนีเซียไม่มีธรรมเนียมดั้งเดิมหรือมีวัฒนธรรมที่นิยมการสร้างพีระมิดแต่อย่างใด

เขาเสนอแนวคิดทางเลือกว่า กุนุงปาดังนั้นไม่ใช่พีระมิด แต่เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างโบราณที่พบได้ทั่วไปในอินโดนีเซีย นั่นก็คือระเบียงหิน (stone terrace) หรือที่เรียกว่า “ปันเดน เบรันดัก” (punden berandak) ในภาษาท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างสกัดจากหินรูปทรงคล้ายโต๊ะเพื่อใช้ทำพิธีบวงสรวงบูชาบรรพบุรุษ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า กุนุงปาดังน่าจะเป็นระเบียงหินหลายชุดที่ตั้งอยู่ด้วยกันเท่านั้น

Adblock test (Why?)


6 เรื่องสุดยอดการค้นพบทางโบราณคดีแห่งปี 2566 - BBC.com
Read More

6 เรื่องสุดยอดการค้นพบทางโบราณคดีแห่งปี 2566 - BBC.com

เหตุการณ์ที่จักรพรรดินีโรร้องเพลงและเล่นดนตรีขณะกรุงโรมมอดไหม้ อาจไม่ใช่เรื่องจริง (ภาพพิมพ์แกะไม้ลงสีโดย Tito Conti ศิลปินชาวอิตาเลียน)

ที่มาของภาพ, GETTY IMAGES

ในรอบปี 2566 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มีการค้นพบทางโบราณคดีอันน่าทึ่งมากมายเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพบเจอหลักฐานที่ทำให้เราต้องฉีกตำราประวัติศาสตร์ รวมทั้งเปิดเผยถึงความสามารถอันล้ำยุคล้ำสมัยเกินคาดของคนโบราณมากเป็นพิเศษในปีนี้ ซึ่งบีบีซีไทยรวบรวมมาให้ได้อ่านกันอย่างจุใจถึง 6 เรื่องด้วยกัน

โครงสร้างไม้เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น

โครงสร้างไม้อายุเกือบห้าแสนปี ถูกฝังอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำกาลัมโบในประเทศแซมเบีย

ที่มาของภาพ, LARRY BARHAM

อาชีพช่างไม้นั้นอาจถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของโลก และช่างไม้คนแรกก็อาจมีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศแซมเบียในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาเมื่อหลายแสนปีก่อน เพราะในปีนี้ทีมนักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ค้นพบโครงสร้างไม้อายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้นมา ถูกฝังอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำกาลัมโบ (Kalambo River) ในประเทศดังกล่าว

ทีมสำรวจซึ่งนำโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลของสหราชอาณาจักร พบขอนไม้ที่ประสานเชื่อมต่อกันด้วยรอยบาก ซึ่งชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากการตัดไม้อย่างจงใจด้วยฝีมือมนุษย์ หลักฐานแวดล้อมยังทำให้พวกเขาสันนิษฐานได้ด้วยว่า ขอนไม้ที่นำมาขัดประสานกันนี้ อาจก่อขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของทางเดิน หรือฐานของโครงสร้างยกพื้นเหนือดินที่ชื้นแฉะในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำดังกล่าว

ก่อนหน้านี้โครงสร้างไม้เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ถูกพบในทางตอนเหนือของอังกฤษ โดยมีอายุเก่าแก่เพียง 11,000 ปี ในขณะที่โครงสร้างไม้ซึ่งถูกค้นพบในครั้งนี้ มีอายุเก่าแก่ถึง 476,000 ปี นับว่าเก่าโบราณยิ่งกว่าต้นกำเนิดของมนุษย์ยุคใหม่หรือโฮโมเซเปียนส์ถึง 150,000 ปี

ทีมนักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้นสันนิษฐานว่า โครงสร้างไม้นี้น่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับเรา อย่าง Homo heidelbergensis ซึ่งน่าประหลาดใจว่า มนุษย์โบราณเผ่าพันธุ์ดังกล่าวที่ชอบอพยพโยกย้ายถิ่นฐานไปทั่ว กลับประดิษฐ์โครงสร้างไม้ที่แสดงถึงการลงหลักปักฐาน โดยตั้งบ้านเรือนและชุมชนขึ้นอย่างถาวรหรือกึ่งถาวรในสถานที่เพียงแห่งเดียว

นอกจากโครงสร้างไม้ดังกล่าวแล้ว ยังมีการค้นพบขวานหิน, ขอนไม้ที่ถูกทำให้มีรูปทรงแบนราบลง, และเครื่องมือทำจากไม้ 4 ชิ้น ที่มีอายุเก่าแก่ระหว่าง 324,000 -390,000 ปี ในบริเวณใกล้เคียงด้วย โดยร่องรอยที่พบบนขอนไม้ท่อนหลังนี้ ไม่ต่างจากรอยขุดหรือรอยแหว่งในเนื้อไม้ ซึ่งมักเกิดจากการใช้อุปกรณ์บนโต๊ะทำงานของช่างไม้เลย

แผ่นกระดาษจากหนังสือเล่มแรกของโลก

กระดาษพาไพรัส (papyrus) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อของกระดาษปาปิรุส คือวัสดุที่ชาวอียิปต์โบราณใช้วาดภาพและเขียนตัวอักษรของเอกสารต่าง ๆ ซึ่งในปีนี้มีการค้นพบชิ้นส่วนพาไพรัสขนาด 10 X 6 นิ้ว ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าสองพันปี โดยมีร่องรอยบ่งชี้ปรากฏอยู่ว่า มันน่าจะเป็นแผ่นกระดาษหน้าหนึ่งจากหนังสือเล่มแรกของโลก

ทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกราซของออสเตรียระบุว่า อันที่จริงมีการค้นพบแผ่นกระดาษพาไพรัสนี้ครั้งแรก เมื่อกว่าร้อยปีก่อนตั้งแต่ ค.ศ.1902 ที่เมืองเอลฮิเบห์ (El Hibeh) ในประเทศอียิปต์ แต่เพิ่งจะสืบทราบถึงประวัติความเป็นมาของมันได้อย่างชัดเจนเมื่อไม่นานมานี้

ชิ้นส่วนแผ่นกระดาษพาไพรัสจากหนังสือเล่มแรกของโลก

ที่มาของภาพ, UNIVERSITY OF GRAZ

ชิ้นส่วนของแผ่นพาไพรัสดังกล่าว เคยเป็นหน้าหนึ่งของหนังสือที่เย็บรวมเอกสารหลายชิ้นเข้าด้วยกัน โดยหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาว่าด้วยอัตราการจัดเก็บภาษีสำหรับเบียร์และน้ำมันเป็นหลัก ทำขึ้นด้วยการใช้หมึกดำเขียนเป็นตัวอักษรกรีก เมื่อราว 260 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2,283 ปีมาแล้ว

หลังอยู่ในหนังสือเล่มแรกของโลกได้ระยะหนึ่ง แผ่นกระดาษนี้ก็ถูกฉีกออก แล้วส่งเป็นจดหมายไปถึงนายอากรหรือลูกหนี้ที่ยังคงติดค้างการจ่ายภาษีอยู่ ก่อนจะมีผู้นำไปรีไซเคิลเพื่อเอากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่อีกครั้ง โดยมีการวาดภาพทวยเทพลงไปก่อนนำไปห่อมัมมี่ ตามธรรมเนียมที่นิยมกันในยุคราชวงศ์ทอเลมี (Ptolemy) ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองอียิปต์โบราณ ก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน

ทีมนักโบราณคดีทราบว่าแผ่นกระดาษนี้มาจากหนังสือที่ถูกเย็บเป็นเล่มมาก่อน เพราะใช้กล้องจุลทรรศน์และอุปกรณ์ถ่ายภาพแบบมัลติสเปกตรัม (multispectral imaging) ซึ่งสามารถเก็บรายละเอียดที่อยู่ลึกลงไปในเนื้อกระดาษได้ด้วยความคมชัดสูง เข้าช่วยค้นหาร่องรอยต่าง ๆ ที่ชี้ถึงกระบวนการออกแบบและเย็บเล่มหนังสือในยุคโบราณได้

ผลการตรวจสอบปรากฏว่า แผ่นพาไพรัสนี้มีการออกแบบวางเลย์เอาต์ (layout) ให้สามารถพับครึ่งแบ่งแยกเนื้อหาจนกลายเป็นสองหน้ากระดาษ เพื่อนำไปเข้ารวมเล่มเป็นหนังสือด้วยการเจาะรูตรงกลาง แล้วใช้วัสดุคล้ายตะปูที่ยืดหยุ่นได้มายึดเอาไว้ ซึ่งแทบไม่ต่างจากการเข้าเล่มด้วยสันหนังสือที่เป็นห่วงวงแหวนในสมัยนี้

ก่อนการค้นพบที่มาของแผ่นพาไพรัสดังกล่าว หนังสือเล่มเก่าแก่ที่สุดของโลกมาจากยุคคริสต์ศตวรรษที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น แต่หลังจากการค้นพบครั้งนี้ นักโบราณคดีได้ทราบว่าการเย็บเล่มเอกสารให้กลายเป็นหนังสือนั้น มีมานานกว่าที่เคยคิดกันอย่างน้อย 400 ปี

โรงละครที่จักรพรรดินีโรใช้แสดงคอนเสิร์ต

ผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันโบราณที่มีชื่อเสียงในเรื่องความบ้าบิ่นมากที่สุด เห็นจะไม่มีใครเกินจักรพรรดินีโรหรือเนโร (Nero) อย่างแน่นอน เพราะเขาคือหนึ่งในผู้นำที่มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งกล้าแสดงทักษะความเป็นศิลปินในตัวออกมาอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พิเศษไม่เหมือนใคร อย่างเช่นที่เล่าลือกันมาว่า นีโรเฝ้ามองกรุงโรมที่กำลังมอดไหม้ในกองเพลิง ระหว่างที่ดีดเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งคลอไปด้วย

ซากโรงละครที่จักรพรรดินีโรใช้ขับขานบทเพลงให้ประชาชนพลเมืองได้ฟัง

ที่มาของภาพ, SOPRINTENDENZA SPECIALE ROMA

แม้ตำนานดังกล่าวอาจไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะเริ่มมีการค้นพบหลักฐานใหม่ที่ชี้ว่า จักรพรรดิพระองค์นี้มีจิตใจเมตตาต่อประชาชนยิ่งกว่าที่ฝ่ายศัตรูได้เขียนบิดเบือนประวัติศาสตร์เอาไว้ แต่ความเป็นศิลปินผู้มีอารมณ์สุนทรีย์อยู่เสมอของนีโรนั้น ไม่อาจปฏิเสธได้โดยง่าย เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานยืนยันที่เป็นรูปธรรมหลายชิ้น รวมถึงโรงละครที่นีโรใช้ “แสดงคอนเสิร์ต” โชว์น้ำเสียงอันไพเราะเป็นบทเพลงขับกล่อมพลเมืองชาวโรมันด้วย

โรงละครดังกล่าวเป็นเวทีส่วนตัวที่สร้างขึ้นในสวนของ “อะกริปพีนา” (Agrippina) มารดาของจักรพรรดินีโร ซึ่งสวนนี้ตั้งอยู่ในบริเวณของคฤหาสน์หรูชานกรุงโรม ใกล้กับพื้นที่ของนครรัฐวาติกันในปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีไม่ทราบถึงที่ตั้งของเวทีดังกล่าว แม้นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันโบราณหลายรายจะได้จดบันทึกถึงสถานที่แห่งนี้เอาไว้ อย่างเช่นที่ทาซิตุส (Tacitus) ได้ระบุว่า นีโรเคยขับขานบทเพลงเกี่ยวกับการล่มสลายของกรุงทรอย ระหว่างที่เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในกรุงโรม เมื่อปีค.ศ. 64 ณ “โรงละครที่ก่อขึ้นด้วยอิฐในสวนของอะกริปพีนา”

ผลการขุดค้นซากโครงสร้างยุคโรมัน ที่หลงเหลืออยู่ในสวนสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนซองส์แห่งหนึ่ง พบว่ามีโรงละครที่ลักษณะตรงกับคำบรรยายที่ระบุไว้ในประวัติศาสตร์ โดยเป็นเวทีซึ่งมีที่นั่งของผู้ชมวางเป็นรูปครึ่งวงกลมกว้าง 42 เมตร พร้อมทั้งมีพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ประกอบด้วยทางเข้าออกและบันได และยังมีอาคารอีกแห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่เก็บฉากและเสื้อผ้าของศิลปินนักแสดงด้วย

มีร่องรอยการประดับตกแต่งโรงละครนี้อย่างหรูหรา ด้วยหินอ่อนสีขาวและแผ่นทองคำ เนื่องจากสิ่งก่อสร้างนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอาคารขนาดใหญ่ ที่จะช่วยประกาศศักดาและเชิดชูเกียรติของจักรพรรดินีโรให้แผ่ไพศาลนั่นเอง

หลักฐานชี้มี “พุทธศาสนิกชน” ในอียิปต์ยุคโรมัน

คนทั่วไปเชื่อกันว่าดินแดน “พุทธภูมิ” ซึ่งหมายถึงพื้นที่อันเป็นต้นกำเนิดและมีผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักอยู่จำนวนมาก ในอดีตมีอาณาเขตจำกัดอยู่แค่ในทวีปเอเชียเท่านั้น แต่ปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวต้องสั่นคลอน หลังมีการค้นพบหลักฐานที่ยืนยันว่า มีชุมชนชาวพุทธในทวีปแอฟริกา ณ เมืองท่าสำคัญของอียิปต์เมื่อกว่าสองพันปีก่อน

พระพุทธรูปที่พบในอียิปต์ มีลักษณะคล้ายกับศิลปะคันธารราฐ (Ghandara) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกรีก

ที่มาของภาพ, MINISTRY OF ANTIQUITIES

ทีมนักโบราณคดีนานาชาติ นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบันวิจัยในสหรัฐฯ รวมทั้งศูนย์โบราณคดีภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนของโปแลนด์ (PCMA) แถลงว่าได้ค้นพบพระพุทธรูปอายุเก่าแก่ราว 1,900 - 2,000 ปี ขณะตรวจสอบซากวิหารโบราณของเมืองเบเรนิเก (Berenike) หรือเบเรนิซ (Berenice) ซึ่งเป็นเมืองท่าริมฝั่งทะเลแดงของอียิปต์

พระพุทธปฏิมาดังกล่าวอยู่ในปางประทับยืน มีความสูง 71 เซนติเมตร สลักขึ้นจากหินอ่อนเมดิเตอร์เรเนียน พระหัตถ์ซ้ายกุมจีวร ส่วนพระเศียรมีรัศมีเป็นแฉกคล้ายแสงอาทิตย์ และมีดอกบัวประดับอยู่ข้างองค์พระด้วย ทำให้มีลักษณะคล้ายกับศิลปะคันธารราฐ (Ghandara) ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก นับเป็นพระพุทธรูปองค์แรกที่ถูกค้นพบในซีกโลกตะวันตกที่อยู่เลยเขตแดนของประเทศอัฟกานิสถานออกไป

ทีมนักโบราณคดีเชื่อว่า ช่างแกะสลักในเมืองอเล็กซานเดรียของอียิปต์อาจเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปนี้ เพื่อให้ชุมชนของพ่อค้าอินเดียที่ลงหลักปักฐานในเมืองเบเรนิเกได้นำไปบูชา นับเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่ามีพุทธศาสนิกชนอยู่ในอาณาจักรอียิปต์โบราณ ทั้งยังแสดงถึงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียกับอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่อียิปต์อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน

ก่อนหน้านี้มีการค้นพบศิลาจารึกภาษาสันสกฤต และไหบรรจุเม็ดพริกไทยจากอินเดียอายุเก่าแก่ 1,900 ปี ที่เมืองเบเรนิเกมาแล้ว โดยเรือที่มาจากอินเดียจะนำสินค้าจำพวกเครื่องเทศ หินกึ่งมีค่า ผ้าไหม และงาช้าง มาจำหน่ายที่เมืองท่าแห่งนี้เป็นประจำ จนกระทั่งเมืองถูกทิ้งร้างไปในช่วงปี ค.ศ. 600

ซากเครื่องแกงเผ็ดสูตรดั้งเดิมเริ่มแรกในอุษาคเนย์

แกงเผ็ดแบบต่าง ๆ หรือแกงกะหรี่รสชาติจัดจ้านเข้มข้น ซึ่งเชื่อกันว่าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารในวัฒนธรรมของชาวภารตะนั้น แท้จริงเริ่มมีการนำเข้าสูตรการปรุง รวมทั้งวัตถุดิบที่เป็นเครื่องเทศจากต่างแดนตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ ?

แกงที่มีรสชาติเผ็ดร้อนในยุคเริ่มแรกของอุษาคเนย์ ยังไม่มีพริกเป็นส่วนประกอบเหมือนกับแกงเผ็ดในสมัยนี้

ที่มาของภาพ, GETTY IMAGES

ทีมนักโบราณคดีจากเวียดนาม จีน และออสเตรเลีย เผยแพร่การค้นพบล่าสุดในวารสาร Science Advances โดยระบุว่าซากเครื่องแกงที่พบบนแท่นหินบดสมุนไพรอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี จากแหล่งขุดค้นทางโบราณคดี “อ็อกแอว” (Oc Eo) ในภาคใต้ของเวียดนาม ชี้ว่าเริ่มมีการใช้เครื่องเทศที่นำเข้าจากอินเดียหรืออินโดนีเซียมาประกอบอาหาร ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรฟูนัน (Funan) ที่เคยทรงอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงราวค.ศ. 300

อย่างไรก็ตาม แกงเผ็ดสูตรดั้งเดิมนี้ยังไม่มีพริกเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากพริกซึ่งมีต้นกำเนิดในอเมริกาใต้ถูกนำเข้ามายังภูมิภาคนี้ในยุคหลัง แต่ผลวิเคราะห์อนุภาคฝังแน่นที่ติดอยู่กับแท่นหินบดเครื่องแกง พบซากพืชสมุนไพรที่มีรสชาติเผ็ดร้อนจากอินเดียจำนวนมาก เช่นพริกไทย กระชาย ขิง ข่า เปราะหอม และขมิ้นชัน โดยเชื่อว่านักเดินทางและพ่อค้าผู้อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากชมพูทวีป เป็นผู้แนะนำสูตรการปรุงแกงรสชาติเผ็ดร้อนดังกล่าวให้กับชาวอุษาคเนย์ได้รู้จัก ในยุคเริ่มการติดต่อค้าขายทางทะเลระหว่างสองภูมิภาคผ่านเส้นทางในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อราว 2,000 ปีก่อน

ในยุคนั้นอาณาจักรฟูนันซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตแดนของประเทศเวียดนาม ถือเป็นสถานีการค้าสำคัญที่เชื่อมต่อจีนและเอเชียใต้เข้าด้วยกัน ทำให้มีการขุดพบแท่นหินทรายจำนวนมากในแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีอ็อกแอว ซึ่งแท่นหินนี้เป็นอุปกรณ์ใช้บดเครื่องเทศและพืชสมุนไพรหลายร้อยชนิด เพื่อนำไปประกอบอาหารตามแบบวัฒนธรรมอินเดียโบราณ

อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิดแกงเผ็ดชามแรกของโลกนั้นอยู่ในชมพูทวีป โดยก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเคยพบซากแกงเผ็ดเหลือติดก้นหม้อ และเศษเครื่องเทศที่ติดฟันมนุษย์โบราณอายุเก่าแก่กว่า 4,000 ปี ในประเทศปากีสถาน

“กุนุงปาดัง” คือพีระมิดเก่าแก่ที่สุดของโลกจริงหรือ

เหล่านักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณขั้นสูงที่สูญหาย ต้องมาถกเถียงกันอย่างดุเดือดในปีนี้ เพราะเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา วารสาร Archaeological Prospection ได้ตีพิมพ์เรื่องราวการค้นพบใหม่เกี่ยวกับเนินเขา “กุนุงปาดัง” (Gunung Padang) ในพื้นที่ทางตะวันตกของเกาะชวาของอินโดนีเซีย โดยยืนยันว่าแท้จริงแล้วเนินเขาแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงสร้างของพีระมิดขั้นบันไดขนาดยักษ์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก

กุนุงปาดัง มีความหมายว่า “ภูเขาแห่งความรู้แจ้ง” ในภาษาซุนดา

ที่มาของภาพ, MERCUSUAR

ทีมนักโบราณคดีจากสำนักวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติอินโดนีเซีย (BRIN) อ้างว่าหลักฐานจากการศึกษาวิเคราะห์ที่ยาวนานกว่าสิบปี และผลการตรวจหาอายุของดินและหินในโบราณสถานดังกล่าวด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่ากุนุงปาดังอาจถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อราว 16,000-27,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดของโลก (Last Glacial Period - LGP)

ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างปริศนาแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นก่อนที่มนุษย์จะรู้จักเกษตรกรรม และก่อนกำเนิดแหล่งอารยธรรมแรกของโลกหลายพันปี แม้แต่มหาพีระมิดแห่งกิซาที่อียิปต์ และสโตนเฮนจ์ที่สหราชอาณาจักร ก็ยังมีอายุน้อยเพียง 1 ใน 5 ของกุนุงปาดังเท่านั้น

การค้นพบน่าพิศวงนี้ทำให้คนที่เชื่อใน “สมมติฐานไซลูเรียน” (Silurian Hypothesis) พากันทึกทักว่า นี่คือหลักฐานของของอารยธรรมโบราณที่มีความเจริญรุ่งเรืองและก้าวล้ำทางเทคโนโลยียิ่งกว่ามนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งอารยธรรมที่สูงส่งนี้เคยครองโลกในยุคดึกดำบรรพ์เป็นเวลานานหลายล้านปี ก่อนการถือกำเนิดขึ้นของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีและนักธรณีวิทยาจำนวนมาก ตั้งคำถามถึงความถูกต้องในงานวิจัยข้างต้น ซึ่งดูเหมือนจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับไม่เพียงพอ ทำให้ทางวารสาร Archaeological Prospection ประกาศจะลงมือตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานวิจัยนี้อีกครั้งแล้ว

ด้านดร.ลุฟตี ยอนดรี นักโบราณคดีของ BRIN อีกผู้หนึ่ง ออกมาแสดงการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับผลวิจัยที่ “ด่วนสรุป” ว่ากุนุงปาดังคือพีระมิดเก่าแก่ที่สุดของโลก เพราะชาวอินโดนีเซียไม่มีธรรมเนียมดั้งเดิมหรือมีวัฒนธรรมที่นิยมการสร้างพีระมิดแต่อย่างใด

เขาเสนอแนวคิดทางเลือกว่า กุนุงปาดังนั้นไม่ใช่พีระมิด แต่เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างโบราณที่พบได้ทั่วไปในอินโดนีเซีย นั่นก็คือระเบียงหิน (stone terrace) หรือที่เรียกว่า “ปันเดน เบรันดัก” (punden berandak) ในภาษาท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างสกัดจากหินรูปทรงคล้ายโต๊ะเพื่อใช้ทำพิธีบวงสรวงบูชาบรรพบุรุษ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า กุนุงปาดังน่าจะเป็นระเบียงหินหลายชุดที่ตั้งอยู่ด้วยกันเท่านั้น

Adblock test (Why?)


6 เรื่องสุดยอดการค้นพบทางโบราณคดีแห่งปี 2566 - BBC.com
Read More

ด่วน เจนนี่ ประสบอุบัติเหตุ รถพลิกคว่ำพุ่งตกข้างทางพังยับเยิน - ข่าวสด

ด่วน เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น นักร้องคนดัง พร้อมครอบครัว ประสบอุบัติเหตุ รถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำพุ่งตกข้างทาง ระหว่างเดินทาง ด้าน เจ้าตัวเผยสถานการณ์ล่าสุด

วันที่ 29 ธ.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ลูกสาว และป้าอีกคน ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ระหว่างเดินทาง

โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ทางเพจ น้องเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ได้แจ้งข่าวกับแฟน ๆ ของนักร้องสาว ว่า “ตอนนี้ เจนนี่ ยูจิน ป้าแนน ป้าน้อย รถคว่ำที่ กม.19 นะคะ”

พร้อมกับแชร์ภาพที่รถที่ขับมาพลิกคว่ำอยู่ข้างถนน และมีคนมุงดูอยู่ โดยมีแฟนๆ เข้ามาให้กำลัง และขอให้ปลอดภัยเป็นจำนวนมาก

เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น นักร้องคนดัง พร้อมครอบครัว ประสบอุบัติเหตุ รถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำพุ่งตกข้างทาง ระหว่างเดินทาง

เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น นักร้องคนดัง พร้อมครอบครัว ประสบอุบัติเหตุ รถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำพุ่งตกข้างทาง ระหว่างเดินทาง

Adblock test (Why?)


ด่วน เจนนี่ ประสบอุบัติเหตุ รถพลิกคว่ำพุ่งตกข้างทางพังยับเยิน - ข่าวสด
Read More

Thursday, December 28, 2023

ทางเลี่ยงรถติด 2567 แจกแผนเดินทางปีใหม่ เช็กเลยใช้เส้นทางไหน - Ch7.com

นับถอยหลังอีกเพียงไม่กี่วันก็จะขึ้นปีใหม่ 2567 หลายคนเริ่มเดินทางกลับภูมิลำเนา ตำรวจทางหลวง แจกเส้นทางเลี่ยงรถติด 2567

โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้แชร์ “เส้นทางเลี่ยงรถติดสำหรับเทศกาลปีใหม่2567” โดยมีทั้งหมด 4 ภาค ได้แก่

ทางเลี่ยงรถติดภาคตะวันออก กรุงเทพฯ - ภาคตะวันออก

1.ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์)
2.ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านมีนบุรี - หนองจอก ออกสู่ภาคตะวันออก
3. ใช้ทางหลวงหมายเลข 34 (เทพรัตน) ผ่านบางนา - บางปะกง หรือใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี ออกสู่ภาคตะวันออก
4.ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท)

ทางเลี่ยงรถติด 2567

ทางเลี่ยงรถติดภาคอีสาน กรุงเทพฯ - ภาคอีสาน

1.ถนนพหลโยธิน เลี้ยวขวาสามแยกพุแค เข้าถนนพุแคหล่มสัก ทล.21 เลี้ยวขวาแยกม่วงค่อม เข้าสู่ ทล.2256 หรือเลี้ยวซ้ายเข้า ทล.205 เพื่อเข้าสู่ ทล.201 ไปยังจังหวัดชัยภูมิ
2.เส้นทางกรุงเทพฯ - จังหวัดฉะเชิงเทรา และใช้ ทล. 304 (อ.พนมสารคาม - อ.กบินทร์บุรี - อ.วังน้ำเขียว - อ.ปักธงชัย) มุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา
3. เส้นทางกรุงเทพฯ ไปยัง จังหวัดสระแก้ว - อรัญประเทศ - อ.ตาพระยา - อ.โนนดินแดง - อ.ละหานทราย เข้าสู่ จังหวัดบุรีรัมย์

ทางเลี่ยงรถติด 2567

ทางเลี่ยงรถติดภาคเหนือ กรุงเทพฯ - ภาคเหนือ

1.ถ.วงแหวนตะวันออก (ทล.พ.9) เลี้ยวซ้ายที่ต่างระดับคลองหลวงใช้ ทล.3214 เข้าสู่ ทล.347 เลี้ยวซ้ายที่แยกบางปะหันเข้าสู่ ทล.32 (สายเอเชีย)
2.วงแหวนตะวันตก (ทล.พ.9) เลี้ยวซ้ายถนนตลิ่งชัน-ชัยนาท (ทล.340) เชื่อมต่อ ถ.พหลโยธิน (ทล.1) เลี้ยวซ้ายแยกหลวงพ่อโอ (ทล.1) ไปยังจังหวัดนครสวรรค์

ทางเลี่ยงรถติด 2567

ทางเลี่ยงรถติดภาคใต้ กรุงเทพฯ - ภาคใต้

1.ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2)
2.ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม)

ทางเลี่ยงรถติด 2567

วางแผนการเดินทางให้ดี เตรียมตัวให้พร้อม ข้าว ขนม น้ำดื่มต้องครบ โดยเฉพาะผู้ขับขี่ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผู้ที่ร่วมเดินทางไปกับท่านถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเพจ ตำรวจทางหลวง

Adblock test (Why?)


ทางเลี่ยงรถติด 2567 แจกแผนเดินทางปีใหม่ เช็กเลยใช้เส้นทางไหน - Ch7.com
Read More

นักวิชาการ มธ. เสนอกลไกทางเลือกแก้ PM 2.5 - ไทยโพสต์

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ม.ธรรมศาสตร์ แนะ ควรให้ ‘อำนาจสั่งการ’ คกก.อากาศสะอาด ดำเนินมาตรการข้ามหน่วยงาน พร้อม ‘บูรณาการงบประมาณ’ ตามภารกิจ...