Rechercher dans ce blog

Sunday, July 31, 2022

สนามบินเชียงราย ปิดทางวิ่งเร่งกู้นกแอร์จากรันเวย์ คาดเปิด 3 ส.ค. - ข่าวสด

สนามบิน​แม่ฟ้าหลวง​ เชียงราย​ ออกประกาศ​ NOTAM​ ปิดทางวิ่ง​ ในวันอาทิตย์​ที่​ 31​ กรกฎาคม​ 2565​ ถึงเวลา​ 22.00​ น.​เนื่องจาก​เหตุการณ์​ Runway​ Excursion

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

ดังนั้น​ เที่ยวบิน​ที่จะเดินทาง​เข้าออกสนาม​บินทุกสายการบิน​จึงยกเลิกทั้งหมด​ ซึ่งแต่ละสายการบิน​จะจะแจ้งข้อมูอีกครั้ง กรณี​นี้​ จัดเป็นอากาศ​ยานอุบัติ​การณ์​รุนแรง​ /อุบัติเหตุ​ ซึ่งมีการรายงาน​ กสอ.และ​ กพท.ตามข้อกำหนด​/กฎหมาย​ ซึ่งจะเข้าสู่กระบวนการ​พิทักษ์​อากาศยาน​ และการสอบสวนวิเคราะห์​หาสาเหตุ​ ต่อไป

ล่าสุดได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายเพื่อแก้ปัญหากรณีฉุกเฉินในครั้งนี้ให้เร็วที่สุด มีประชาชนได้รับผลกระทบนับพันจากการปิดสนามบิน เนื่องจากตรงกับวันหยุดยาวหลายวัน

ฝากแจ้งให้ผู้ที่จะเดินทาง จากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย หรือต้องการที่จะใช้สายการบินเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายจะสามารถเปิดทำการให้เครื่องบินได้ขึ้นลงได้เป็นปกติ ในวันที่ 3 ส.ค.นี้

Adblock test (Why?)


สนามบินเชียงราย ปิดทางวิ่งเร่งกู้นกแอร์จากรันเวย์ คาดเปิด 3 ส.ค. - ข่าวสด
Read More

สรุปหุ้นเด่นทางพื้นฐาน (01/08/65) - efinanceThai

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ BE8 55 คาดกำไร 2Q65 จะทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนจากธุรกิจหลักที่เติบโตเด่นตามความต้องการด้าน Digital Transformation ผสานช่วง 2H65 คาดยังดีต่อเนื่อง จากการรับรู้โครงการต่างๆ เช่น ไปรษณีย์ไทย และการควบรวมกับ X10 หนุนกำไรปีหน้ายังเติบโตเด่น CRC 43 คาดกำไร 2Q65 +60%QoQ และพลิกจากขาดทุน 472 ล้านบาท ใน 2Q64 จากทั้งยอดขายและอัตราการทำกำไรขั้นต้นสูงขึ้น โดย%SSSG 2Q65 คาดเพิ่มขึ้นราว 21-22% เป็นบวกทั้งไทย เวียดนาม และอิตาลี และคาด 2H65 ยังดีต่อเนื่องจากท่องเที่ยวไทยขยายตัวเด่น บล.กรุงศรี หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ GPSC 72 แรงกดดันต่อต้นทุนพลังงานเริ่มลดลงหลังจากแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบเริ่มชะลอตัวเป็น Sentiment บวกกับโรงไฟฟ้าประกอบกับมีประเด็นเรื่องการปรับขึ้นค่า Ft ให้เก็งกำไรเป็นบวกกับผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนของโรงไฟฟ้า SPP และมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นภาคอุตสาหกรรมสูง MAJOR 24 เป็นหุ้นธีมเปิดเมืองที่ราคายัง Laggard โดย YTD ราคาหุ้นในกลุ่มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-20% ขณะที่ MAJOR เพิ่มขึ้นเพียง 3% ขณะที่วันนี้มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวกระแสภาพยนตร์ บุบเพสันนิวาส 2 แรงเกินคาดทำรายได้ 3 วัน 134 ล้านบาท บล.ฟินันเซีย ไซรัส หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ PLUS 7 คาดกำไรสุทธิ 2Q22 ที่ 69 ลบ. +48% Q-Q, +210% Y-Y ทำจุดสูงสุดใหม่จากคำสั่งซื้อฟื้นหลังปัญหาสายเรือคลี่คลาย และขยายเข้าไปในสาขาของ Walmart เพิ่มเป็น 49% จาก 38% ของสาขา Walmart ทั้งหมด บล.เคทีบีเอสที หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ SPRC 13 แนวโน้มกำไร 2Q-3Q22 สวย หนุนด้วยค่ากลั่นที่ทรงตัวสูง ค่าการกลั่นยังสูงเมื่อเทียบ YoY ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 2 ที่ KTBST ประเมินอยู่ที่ 5.8 พัน ลบ. +647%YoY, +9%QoQ

Adblock test (Why?)


สรุปหุ้นเด่นทางพื้นฐาน (01/08/65) - efinanceThai
Read More

เช็กให้ดี "ใบกำกับภาษี" แบบไหนบ้าง สามารถใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ - กรุงเทพธุรกิจ

ทุกๆ การจับจ่าย  ไม่ว่าจะโดยการซื้อของเพื่อกิจธุระส่วนตัว หรือเป็นการซื้อเพื่อกิจการของบริษัท เชื่อว่า ต้องมีคนจำนวนไม่น้อยพบปัญหาเกี่ยวกับ "ใบกำกับภาษี" ไม่ว่าจะเป็นการลืมขอใบกำกับภาษีไว้ หรือขอมาแล้ว แต่เป็นใบกำกับภาษีผิดรูปแบบก็ไม่สามารถนำมาเบิกได้ เพราะถือเป็นใบกำกับภาษีปลอม

ผลเสียก็คือ คุณหรือบริษัทไม่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ขอคืนภาษีซื้อ หรือนำไปหักกับภาษีขายได้ เพราะใบกำกับภาษีต้องมีข้อความครบถ้วนถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด จึงจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้

ดังนั้น ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อมีการขายสินค้าเวลาออกใบกำกับภาษีให้กับผู้ซื้อต้องเช็กความถูกต้องของรายละเอียดสำคัญที่อยู่ในใบกำกับภาษี ส่วนคนซื้อสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ใบกำกับภาษี ก็ต้องเช็กความถูกต้องก่อนนำกลับมา หากพบจุดผิดพลาดจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ดังนี้  

  • ความหมายและความสำคัญของใบกำกับภาษี 

ใบกำกับภาษี (TAX INVOICE) เป็นเอกสารหลักฐานที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จะต้องจัดทำทุกครั้งที่มีการซื้อขายหรือให้บริการ โดยออกเป็นใบกำกับภาษีให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการ และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการในแต่ละครั้ง ซึ่งใบกำกับภาษีแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ 

2.ใบกำกับภาษีแบบย่อ

กรณีที่ผู้ประกอบการประเภทขายสินค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้จัดทำใบกำกับภาษีส่งพร้อมกับสินค้าให้กับผู้ซื้อทันที หรือเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้กับผู้ซื้อก่อนส่งมอบสินค้า หรือเมื่อได้รับชำระราคาสินค้าก่อนส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ ขึ้นอยู่แต่ละกรณี

ส่วนผู้ประกอบการประเภทให้บริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องจัดทำใบกำกับภาษีและมอบให้แก่ผู้รับบริการทันทีที่ได้รับการชำระค่าบริการ หรือเมื่อได้มีการใช้บริการนั้นไม่ว่าโดยตนเองหรือบุคคลอื่นก่อนได้รับชำระค่าบริการ ขึ้นอยู่แต่ละกรณี    

โดยผู้ประกอบการจะต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) แก่สรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน พร้อมกับแนบเอกสารใบกำกับภาษี และรายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย เพื่อขอคืนภาษีซื้อ หรือนำไปหักกับภาษีขายด้วย 

  • รายละเอียดที่จำเป็นต้องมีในใบกำกับภาษี

รายละเอียดในใบกำกับภาษีมีความจำเป็นต่อการนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีเป็นอย่างมาก เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดรายละเอียดที่จำเป็นต้องมีในใบกำกับภาษีไว้ หากมีไม่ครบตามที่กำหนด จะถือว่าเป็นใบกำกับภาษีปลอม ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ 

ดังนั้น เมื่อผู้ประกอบการจัดทำใบกำกับภาษี และผู้ซื้อเมื่อได้รับใบกำกับภาษี จะต้องเช็กรายละเอียดที่จำเป็นที่ต้องมีในใบกำกับภาษีเสียก่อน ซึ่งแบ่งเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ และใบกำกับภาษีแบบย่อได้ดังนี้

1.ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ  

- ต้องมีคำว่า “ใบกำกับภาษี” ที่เห็นชัดเจน

- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ขาย 

- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อ กรณีเป็นบุคคลธรรมดาให้ใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หากไม่สะดวกระบุแค่ชื่อและที่อยู่ ไม่ต้องใส่เลขบัตรประจำตัวประชาชนได้ 

- ชื่อและที่อยู่ของผู้ขาย

- ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อ

- ระบุสำนักงานใหญ่ หรือ “สาขาที่...” ของผู้ขาย

- ระบุสำนักงานใหญ่ หรือ “สาขาที่...” ของผู้ซื้อ

- วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี ให้ใช้ตัวเลขแทนการระบุชื่อเดือนได้ และใช้พุทธศักราชหรือคริสต์ศักราชได้

- เลขที่ของใบกำกับภาษี 

- หมายเลขลำดับของเล่ม(ถ้ามี)

- ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือบริการ (ให้ระบุเฉพาะสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในใบกำกับภาษีเท่านั้น แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องระบุสินค้าหรือบริการที่ไม่ต้อง

เสียภาษีมูลค่าเพิ่มลงในใบกำกับภาษีด้วย ต้องจัดให้มีเครื่องหมายหรือแยกรายการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นสินค้าหรือบริการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม)

- จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการ ต้องแยกแสดงจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการอย่างชัดเจน

- กรณีมีเอกสารอื่นประกอบชุดของใบกำกับภาษีจะต้องมีคำว่า “เอกสารออกเป็นชุด” และ “ต้นฉบับ” ในใบกำกับภาษี

2.ใบกำกับภาษีแบบย่อ

- มีคำว่า “ใบกำกับภาษีอย่างย่อ”

- ชื่อหรือชื่อย่อ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ออกใบกำกับภาษี

- หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษีและหมายเลขลำดับของเล่ม(ถ้ามี)

- ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือบริการ

- ต้องมีข้อความระบุชัดเจนว่ารวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้แล้ว

- วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี   

ทั้งนี้ หากเช็กแล้วพบว่าใบกำกับภาษีมีมูลค่าสินค้าหรือบริการไม่ตรงกับเงินที่จ่ายจริง ผู้ขายสามารถออกเอกสารใบเพิ่มหนี้หรือใบลดหนี้ให้ถูกต้องได้ รวมถึงรายละเอียดสำคัญที่ต้องมี หากหายไปหรือไม่ถูกต้อง ให้ผู้ขายทำการแก้ไขให้ถูกต้อง 

แต่ถ้าหากไม่ทำการแก้ไขให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด จะถือว่าเป็นใบกำกับภาษีปลอม ซึ่งไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ขอคืนภาษีซื้อ หรือเครดิตภาษีได้ และต้องรับผิดเบี้ยปรับตามมาตรา 89(7) นำใบกำกับภาษีปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนมาใช้ในการคำนวณภาษี จะต้องเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่า ของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษีนั้น

-----------------------------------
Source : Inflow Accounting
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่

Adblock test (Why?)


เช็กให้ดี "ใบกำกับภาษี" แบบไหนบ้าง สามารถใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Saturday, July 30, 2022

ติดอาวุธทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการ SMEs - ประชาชาติธุรกิจ

[unable to retrieve full-text content]

ติดอาวุธทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการ SMEs  ประชาชาติธุรกิจ
ติดอาวุธทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการ SMEs - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

ลงทุนถูกทางหรือยัง? - กรุงเทพธุรกิจ

 อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนที่ดีจะต้องคอยตรวจสอบหรือประเมินว่า อะไรคือสิ่งที่ควรจะปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงเพื่อให้การลงทุนได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว  และนั่นก็มักจะนำไปสู่การ “ปรับพอร์ต” ขนานใหญ่เมื่อเวลาผ่านไป การปรับพอร์ตเองก็มักจะใช้เวลา เนื่องจากว่า  กว่าจะรู้ว่าพอร์ตแบบใหม่นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็จะต้องใช้เวลา ส่วนใหญ่ก็หลายๆเดือนหรือเป็นปีๆ จนเรามั่นใจว่า นั่นคือพอร์ตที่เราจะใช้ไปอีกนานหรือตลอดไป 

 การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเริ่มแรกของผมราวปี 2538-2539 ก็เริ่มจากการลงทุนแบบไม่ค่อยมีรูปแบบเป็นแนว “เล่นหุ้น” ตามสถานการณ์ การใช้กลยุทธ์แบบ VI อย่างจริงจังนั้นน่าจะเริ่มในปี 2540 ที่เป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนแนวทางเป็นเรื่องของการ “ลงทุน” แล้ว ยังเป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” คือลงทุนแบบทุ่มเทเอาจริงเอาจังด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่ 

ใช้หลักการแบบ “Value Investment” ที่มองหุ้นเหมือนกับ “ธุรกิจ”  และลงทุนระยะยาวตลอดชีวิต  ที่เน้นว่าจะขาดทุนหรือเสียหายหนักไม่ได้  เพราะมันเป็น “ชีวิตของเรา”  และนั่นก็คือภาพใหญ่

 เวลาต่อมา  กลยุทธ์ลงทุนแบบ VI ที่ซื้อหรือลงทุนในหุ้นแทบทุกรูปแบบ คือไม่ได้สนใจว่าธุรกิจเป็นแบบไหน เช่น เป็นโภคภัณฑ์ล้วนๆ หรือเป็นหุ้นที่เล่นตามเหตุการณ์พิเศษเช่น เป็นบริษัทส่งออกที่กำลังได้เปรียบทางด้านค่าเงินบาทที่อ่อนตัวอย่างรวดเร็ว  หรือเป็นหุ้นสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อ  ก็เริ่มเปลี่ยนไป พอร์ตเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการถือหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” เพียงไม่เกิน 6-7 ตัวที่มีมูลค่าสูงถึง 70-75% ของพอร์ต และนั่นก็คือสิ่งที่ผมทำจนถึงทุกวันนี้

 การเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อ 6-7 ปีก่อนของผมเองก็มีวิวัฒนาการคล้ายๆ กัน  นั่นก็คือ  แม้ว่าจะใช้หลักการ “VI”  ตั้งแต่แรก แต่วิธีการก็ไม่ได้เหมือนในตลาดหุ้นไทยเลย  เอาแค่จำนวนหุ้นก็ถือเป็นกว่าร้อยตัวเข้าไปแล้ว  ซึ่งผลลัพธ์การลงทุนที่ได้ก็ต้องบอกว่าน่าผิดหวังและผลระยะยาวก็คงจะไปไม่ได้ หุ้น “ติดหล่ม” มาหลายปีก่อนที่ผมจะเริ่ม “ปรับพอร์ตครั้งใหญ่”  ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ถึงแม้ว่าจะยังมีหุ้นกว่าร้อยตัวอยู่ แต่หุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกและหุ้นปลอดภัยราคาถูกเพียงประมาณ 8-9 ตัว กลับมีมูลค่าถึงกว่า 75% ของพอร์ตโดยรวม  และผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็โดดเด่นในช่วงประมาณปีครึ่งที่ผ่านมา

  ปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามโตขึ้นถึง 35% และแทบจะเรียกว่า “ดีที่สุดในโลก” นั้น หุ้นที่ใหญ่ที่สุด 4 ตัวของผมที่ผมคิดว่าเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงประมาณ 40%  แต่ในช่วง7 เดือนของปี 2565 นี้  ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนติดลบถึงประมาณ 20%  หุ้น 4 ตัวดังกล่าวกลับให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกประมาณ 4% ขณะที่หุ้นกลุ่ม Defensive

โดยเฉพาะที่ทำเกี่ยวกับสาธารณูปโภคโดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีราคาค่อนข้างถูกอีก 4 ตัวที่มีขนาดใหญ่รองๆมาของพอร์ตก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยประมาณ 9%  และนั่นทำให้พอร์ตหุ้นเวียดนามโดยรวมที่รวมถึงหุ้นอีกกว่า 100 ตัว ยังไม่ติดลบทั้งๆ  ที่ตลาดหุ้นเวียดนามตกลงมาหนักมาก

ที่สำคัญยิ่งกว่าผลงานทางด้านของ “ราคาหุ้น” ก็คือ ผลประกอบการของบริษัทหรือหุ้นทั้งแปดตัวก็คือ  กำไรของเกือบทุกบริษัทต่างก็เติบโตโดดเด่นตามราคาหุ้น  ไม่มีหุ้นตัวไหนมีราคาผิดธรรมชาติ  ค่า P/E ของหุ้นสมเหตุผลที่ไม่เกิน 30 เท่า  แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ที่ประมาณ 20 เท่าเศษๆ 

แต่ก็มีบางตัว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีค่า P/E ต่ำกว่า 10 เท่า และปันผลค่อนข้างดีที่เกิน  5% ต่อปี  และนั่นจึงทำให้พวกมันไม่ได้ตกลงมารุนแรงในยามที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก  ผมเองคิดว่า  อนาคตหลังจากนี้  ที่ภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นแล้ว  หุ้นพวกนี้จะปรับตัวขึ้นได้รวดเร็วเพราะมันไม่แพงและยังเติบโตดี

 แน่นอนว่าผลตอบแทนจาก “พอร์ตใหม่” เพิ่งจะแสดงออกมาเพียงปีครึ่งหรือ 2 ปี   ยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันจะคล้าย ๆ  กับพอร์ตซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปกว่า 10 ปีที่แล้ว ที่ทำให้ VI ไทยจำนวนมาก “ร่ำรวย”  จากการลงทุนไปเลยเพราะสามารถสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องในระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีติดต่อกันยาวนาน 

โดยที่เหตุผลก็คือ หุ้นที่เป็น VI มีการเติบโตของกำไรสูงบวกกับการปรับค่า P/E ของหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปมากจนบางตัวสูงถึง 30-40 เท่าหรือมากกว่านั้น เนื่องจากนักลงทุนที่มุ่งมั่น  “ทั้งประเทศ” แทบจะเรียกตัวเองว่าเป็น VI และ “ไล่ล่า” หาหุ้นที่การเติบโตสุดยอดและดันราคาของหุ้นให้สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น

 ในขณะที่ในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  ยังแทบจะไม่มี “VI” ที่จะเข้ามาลงทุนหรือ  “เล่นหุ้น VI”  ดังนั้น  หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในสายตาของผมหรือ VI ไทย  ก็เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติสนใจแต่หุ้น “วิ่งช้า” และนักลงทุนส่วนบุคคลของเวียตนามที่เน้นการ “เก็งกำไร”  ไม่ชอบ

 เราคงต้องดูกันต่อไปว่า  อีกอาจจะ 5-10 ปีข้างหน้า  นักลงทุนเวียดนามจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบนักลงทุนไทยในอดีตไหม  ถ้าเป็น  หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในวันนี้ก็อาจจะเติบโตไปได้อีกมาก  ถ้าเราถือไว้ยาวนานก็อาจจะรวยไปเลย  แต่ถ้าไม่เป็น อย่างน้อยผมก็คิดว่าเราก็ควรจะได้ผลตอบแทนไม่น่าจะน้อยกว่า 10% แบบทบต้น  สิ่งที่ผมรู้สึกดีในการถือหุ้นเหล่านั้นจริง ๆ ก็คือ  มันน่าจะเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงและเราสามารถลงทุนในปริมาณที่มากได้อย่างสบายใจ  และดังนั้น  ผมจึงคิดว่านี่คือพอร์ตที่ผมจะถือยาวและไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี

สิ่งที่ผมอาจจะทำบ้างก็คือ  การ “ปรับพอร์ตในรายละเอียด” นั่นก็คือ  หุ้นอีกกว่า 100 ตัว ผมจะทำอย่างไรกับมัน?  ในชั้นนี้ผมก็มักจะขายออกไปบ้างเมื่อมีโอกาส แล้วใช้เงินนั้นซื้อหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกแทน อย่างไรก็ตาม  ในขณะที่ไม่ได้ทำอะไร  ประโยชน์ของมันก็มีอยู่นั่นคือ  มันยังจ่ายปันผลค่อนข้างดีมากกับผมทุกปี 

นอกจากนั้นหุ้นบางตัวนั้น  เนื่องจากตัวเล็กมาก  มันจึงโตได้เป็นหลาย ๆ “เด้ง” หรือหลาย ๆ  เท่าในเวลาไม่กี่ปี  บางตัวเป็น  10 เด้ง  ซึ่งก็ทำให้มันสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นมีการเก็งกำไรสูงอย่างในปี 2564 ที่มันให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นซุปเปอร์สต็อกด้วยซ้ำ

               

Adblock test (Why?)


ลงทุนถูกทางหรือยัง? - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

หน้าบ้านมี "ทางสามแพร่ง" แก้ไขอย่างไรได้บ้าง - คมชัดลึก

ทีนี้มาดูกันว่า ถ้าหน้าบ้านมี "ทางสามแพร่ง" จะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง

บางบ้านจะรู้สึกว่า เมื่อเราอยู่จุดที่มีทางสามแพร่ง มักจะเป็นเหมือนบ่อขุมทรัพย์ที่หาเท่าไหร่ก็เก็บไม่อยู่

บางคนบอกตัวบ้านดี ทางเหล่านี้ก็อาจจะสูญสิ้นพลัง ทำให้เก็บกักพลังงานลบเหล่านี้ได้น้อยก็มี

แต่มามองว่า บางบ้านจะรู้สึกได้เลยว่า "ทางสามแพร่ง" เป็นการขวางทาง หรือลักษณะแย้งกันพอสมควร เหมือนฝั่งนั้นฝั่งนี้ วิ่งเข้าหากันไม่จบไม่สิ้น

จึงควรรู้ ปรับพลังงานเหล่านี้ ด้วยยันต์แปดทิศ หรือลูกแก้วใส ก็จะเป็นการปรับสมดุลได้พอสมควร 

แต่บ้านใด มีไม้ประดับ ก็แนะนำ ให้วางเป็นทางหน้าบ้าน คล้ายกำแพงเล็กน้อย ก็เห็นจะช่วยปรับสมดุลได้อีกทาง

ทำให้บ้านหลังนั้น ไร้แรงปะทะ และกลับมามีพลังงานหยางเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพิ่มความสมดุลที่สมบูรณ์พอดี ยั่นถือว่าดีพอควร

ฝากติดตาม "ฮวงจุ้ย ศาสตร์ล้วงลึก ปรับสมดุล แก้ไขปัญหาชีวิต" ได้ทุกวันอาทิตย์ ทางคมชัดลึก ออนไลน์

ช่องทางการติดต่อ 

Page facebook: ฝูชิง 福星 คนเปิดดวง

โทร : 0661535442

Adblock test (Why?)


หน้าบ้านมี "ทางสามแพร่ง" แก้ไขอย่างไรได้บ้าง - คมชัดลึก
Read More

ลิงก์ชมสด “รอบตัดสิน” Miss Universe Thailand 2022 - MUT 2022 ทาง พีพีทีวี คืนนี้! - PPTVHD36

บรรยากาศ Miss Universe Thailand 2022 - MUT 2022 รอบตัดสิน

กูรูนางงาม เคาะตัวเต็ง ลุ้นมง Miss Universe Thailand 2022

คืนนี้! (30 ก.ค.65) แฟนนางงามห้ามพลาดเด็ดขาด สำหรับการประกวด “มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022” (Miss Universe Thailand 2022)  ใน “รอบตัดสิน” (Final Competition) ค่ำคืนที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งก้าวไปสู่เวทีระดับโลก “มิสยูนิเวิร์ส” (Miss Universe) ต่อไป!

ชมสดพร้อมกันทางหน้าจอ “พีพีทีวี เอชดี ช่อง36” และทางออนไลน์ www.pptvhd36.com/live เวลา 20.30-23.00 น.

บรรยากาศ “รอบพรีลิมฯ” MUT 2022 สาวงามอวดโฉม พร้อมทะยานสู่จักรวาล

เปิดตัวมงกุฎ Miss Universe Thailand 2022 สุดเลอค่า
เปิดตัวมงกุฎ Miss Universe Thailand 2022 สุดเลอค่า

โดย “รอบตัดสิน” จัดขึ้น ณ TRUE ICON HALL ชั้น 7 ศูนย์การค้า ICONSIAM แฟนนางงามจะได้สัมผัสเวทีการประกวดสุดยิ่งใหญ่เกินจิตนาการ เดินทางสู่ดินแดนแห่งใหม่จักรวาลนฤมิตร กับการตีความโชว์การประกวดที่ไม่เหมือนทุกครั้งและปังกว่าที่เคย

ชมภาพบรรยากาศ เดินพรมแดง ก่อนเปิดเวที ชิงมง “MUT2022” ได้ที่นี่ >>> คลิก

สำหรับการเฟ้นหาสาวงามหนึ่งเดียวแห่งสยาม “มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “NEW BEGINNINGS” เพื่อ “ก้าวสู่รุ่งอรุณใหม่ไปด้วยกัน” เข้มข้นทุกรอบการแข่งขัน ลุ้นพร้อมกันสาวงามคนไหนจะผ่านเข้ารอบ 15 คน และใครจะเป็นผู้พิชิตมงกุฎไปครอง

ชมภาพบรรยากาศ เดินพรมแดง ก่อนเปิดเวที ชิงมง “MUT2022” ได้ที่นี่ >>> คลิก

การประกวด Miss Universe Thailand 2022 | รอบพรีลิมมินารี (Preliminary Competition) | 27 ก.ค. 65

ชมภาพบรรยากาศ เปิดเวที Miss Universe Thailand 2022 รอบตัดสิน (Final Competition) ได้ที่นี่ >>> คลิก

ชมภาพ 11 สาวงาม Miss Universe Thailand 2022 เข้ารอบตัดสิน (Final Competition) ได้ที่นี่ >>> คลิก

“พีพีทีวี” ถ่ายทอดสดหน้าจอ - ออนไลน์ “รอบตัดสิน” Miss Universe Thailand 2022 คืนนี้!
“พีพีทีวี” ถ่ายทอดสดหน้าจอ - ออนไลน์ “รอบตัดสิน” Miss Universe Thailand 2022 คืนนี้!
MUT2022-bottom (4-2) MUT2022-bottom (4-2)

อัปเดตข่าวการประกวด MUT Add friend ได้ที่ @PPTVOnline

Adblock test (Why?)


ลิงก์ชมสด “รอบตัดสิน” Miss Universe Thailand 2022 - MUT 2022 ทาง พีพีทีวี คืนนี้! - PPTVHD36
Read More

Thursday, July 28, 2022

ช็อกแฟนๆ 'กรีน Ezqelusia' ประกาศแยกทาง MiTH - เดลินิวส์ออนไลน์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.

Adblock test (Why?)


ช็อกแฟนๆ 'กรีน Ezqelusia' ประกาศแยกทาง MiTH - เดลินิวส์ออนไลน์
Read More

Wednesday, July 27, 2022

"วันหยุดยาว" 28-31 ก.ค.65 ก่อนขับรถทางไกลต้องรู้! วิธีแก้ง่วงและเช็กรถยนต์ - กรุงเทพธุรกิจ

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เคยให้ข้อมูลไว้ว่าในช่วง "วันหยุดยาว" ต่างๆ ของไทยจะเป็นช่วงที่ประชาชนออกเดินทางเป็นจำนวนมาก ทำให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้บ่อย กรมควบคุมโรค จึงมีคำแนะนำถึงประชาชนเพื่อการเตรียมความพร้อมทั้งคนทั้งรถก่อนการเดินทาง

โดยเฉพาะการเตรียมตัวสำหรับคนขับถือว่าสำคัญมาก เพราะนอกจากต้องเพิ่มความระมัดระวังให้กับตัวเองแล้ว ยังต้องมีความรับชอบต่อเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ด้วย สำหรับวิธีเตรียมตัวให้พร้อมก่อนขับรถทางไกล และวิธี "แก้ง่วง" ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกสดชื่นขึ้นได้ในระหว่างเดินทาง ได้แก่

  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและไม่รับประทานยาที่ทำให้ง่วง ทั้งก่อนการขับรถและขณะขับรถ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาภูมิแพ้ ยาแก้ไอ เป็นต้น
  • พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ก่อนขับรถ
  • ตรวจเช็คความพร้อมของยานพาหนะ โดยตรวจเช็คลมยาง ไฟส่องสว่าง ไฟเลี้ยว ระบบเบรก ฯลฯ
  • คาดเข็มขัดนิรภัย หรือ สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งขณะขับรถ และขับรถด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำเกี่ยวกับการ "ตรวจสภาพรถ" เบื้องต้นด้วยตัวเองที่ควรรู้ สำหรับเป็นเช็กลิสต์ในการตรวจเช็กสภาพรถก่อนเดินทางไกล กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้

ล้อรถ/ยางรถยนต์ : ก่อนเดินทางควรเติมลมยางเพิ่ม 3-5 ปอนด์/ตร.นิ้ว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและช่วยประหยัดเชื้อเพลิง

แบตเตอร์รีรถยนต์ : ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบน้ำจะต้องคอยเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอไม่ให้ขาด ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งไม่ต้องดูแลอะไรมาก และถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง จะต้องเติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง

ระบบเบรก/น้ำมันเบรก : ให้ลอง “เหยียบเบรกแล้วฟัง” สังเกตดูว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ หากมีเสียงผิดปกติควรเข้าอู่โดยด่วน ในส่วนของน้ำมันเบรกต้องใส่เติมให้อยู่ระดับปกติ

ระบบไฟส่องสว่าง : ควรตรวจเช็คระบบไฟทุกส่วน ทั้งไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ฯลฯ ต้องใช้งานได้ครบทุกจุด

ที่ปัดน้ำฝน : ต้องอยู่ในสภาพใช้งานได้ดี ตัวยางต้องแน่น ลองเปิดใช้งานต้องไม่มีเสียงขูดขีดผิดปกติ

น้ำมันเครื่อง/หม้อน้ำ : น้ำมันเครื่องต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ตรวจเช็กได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่อง ส่วนหม้อน้ำต้องตรวจดูว่ายังมีน้ำอยู่ไหม ถ้าน้ำลดหายไปเยอะ ควรเติมเข้าไปให้ต่ำว่าขีด Max เล็กน้อย

Adblock test (Why?)


"วันหยุดยาว" 28-31 ก.ค.65 ก่อนขับรถทางไกลต้องรู้! วิธีแก้ง่วงและเช็กรถยนต์ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

คนอีสานจากอดีต-ปัจจุบัน กับทางเลือกใหม่ของการเมือง (จบ) - ฐานเศรษฐกิจ

ต่อมาเมื่อปี 2511 เข้าสู่ยุคของ จอมพลถนอม กิตติขจร แคล้วได้ร่วมกับเพื่อน ส.ส.อีสานฟื้นฟูพรรคการเมืองขึ้นใหม่ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่อำนาจเผด็จการจอมพลถนอม-ประภาส ถูกโค่นล้มลงด้วยพลังของนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชน ในปี 2518 นายแคล้ว จึงได้ร่วมกับเพื่อน ส.ส.อีสาน จัดตั้งพรรคแนวร่วมสังคมนิยม ดำเนินการต่อสู้ตามวิถีทางรัฐสภา เพื่อปกป้องและพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนผู้ยากไร้ อย่างมีพลังยิ่งในสภาผู้แทนราษฎร

นายแคล้ว นรปติ เป็นนักการเมืองอีสานคนหนึ่ง ที่ดำรงจุดยืนของตนและมีอุดมการณ์อันแน่วแน่ ในการต่อสู้เพื่อประชาชนและคนอีสาน ตราบจนสุดท้ายของชีวิต อย่างมีเกียรติและควรแก่การเคารพนับถืออย่างยิ่ง

อีกท่านหนึ่งที่ขอพูดถึง ณ ที่นี้คือ นายไขแสง สุกใส ผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าราชบุตร อดีต ส.ส.จังหวัดนครพนม 3 สมัย ผู้ได้รับฉายาว่า "นักต่อสู้เพื่อคนจนจากลุ่มน้ำโขง" โดยเป็น ส.ส.ครั้งแรกเมื่อปี 2512 ถือว่าเป็น ส.ส.ฝีปากกล้าคนหนึ่งในสภาฯ สมัยนั้น ไขแสง สุกใส เป็น ส.ส.ผู้กล้าอภิปรายเรียกร้องเพื่อคนทุกข์ยากและกล้าท้าทายต่ออำนาจเผด็จการทหารตลอดมาโดยมิเกรงกลัวในสมัย จอมพลถนอม กิตติขจร ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจตนเองเมื่อปี 2514

ย้อนเวลาไปราว 40 ปี แถบลุ่มน้ำโขงนครพนม น้อยคนที่จะไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ในความเป็นคนกว้างขวาง ใจกว้าง และความมีน้ำใจของหนุ่มไขแสง เขาคลุกคลีคนระดับล่าง ดำรงชีวิตอยู่แถบภาคอีสาน เป็นผู้มีประวัติในการต่อสู้เพื่อคนทุกข์ยากมาอย่างยาวนาน นับแต่ยุค 4 รัฐมนตรีอีสาน เขาจึงเข้าใจความทุกข์ยากและการถูกเอารัดเอาเปรียบของคนชนบทเป็นอย่างดี ภายใต้การบริหารของรัฐเผด็จการในอดีต และด้วยสภาพแวดล้อมดังกล่าว จึงทำให้ ไขแสง เป็นผู้นำและนักต่อสู้เพื่อประชาชนคนอีสานที่เข้มแข็งและกล้าหาญ

คนอีสานจากอดีต-ปัจจุบัน กับทางเลือกใหม่ของการเมือง (จบ)

ชีวิตของ ไขแสง เป็นชีวิตที่มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เช่นเดียวกับ นายแคล้ว นรปติ โดยตลอดชีวิตของไขแสง มักเผชิญกับชะตากรรมอันไม่พึงปารถนา เขาถูกจับกุมเข้าคุกตะรางหลายครั้ง ในข้อหาหนักหน่วง นั่นคือ ข้อหาการเป็นคอมมิวนิสต์ เพียงเพราะสู้เพื่อคนจนกล้าท้าทายอำนาจรัฐเผด็จการ เมื่อปี 2497 และครั้งที่ 2 ถูกจับกุมอีกครั้งหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี 2501 พร้อมการกวาดล้างกลุ่มนักศึกษาและประชาชนหัวก้าวหน้าคนอื่นๆ เช่น นายจิตร ภูมิศักดิ์ นายอิศรา อมันตกุล นายประวุฒิ ศรีมันตระ

เมื่อพ้นจากคดี ปี 2512 ไขแสง สุกใส ได้จัดตั้งสำนักงานทนายความธรรมรังสี ขึ้น และสถานที่แห่งนี้ ได้กลายเป็นที่รวมตัวและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของบรรดานักคิด นักศึกษา และประชาชนหัวก้าวหน้า เพื่อการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในช่วงปี 2516-2517

นับว่า ไขแสง เป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญร่วมกับแกนนำนักศึกษาอย่าง นายธีรยุทธ บุญมี, เสกสรรค์ประเสริฐกุล ,ชัยวัฒน์ สุรวิชัย,ประสาร มฤคพิทักษ์ และ บุคคลอื่นๆ ดังนั้น เมื่อกลุ่มแกนนำนักศึกษาจำนวน 12 คน โดนจับในข้อหากบฏทำลายความมั่นคงของประเทศ ขณะเดินแจกเอกสารเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ท้องสนามหลวง

ไขแสง สุกใส แทนที่จะหลบหนีเอาตัวรอด เขากลับเดินถือแคนซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของความเป็นอีสาน เข้ามอบตัวเพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขกับน้องๆ แกนนำนักศึกษาอย่างองอาจกล้าหาญ ทั้งที่การเข้าคุกอาจไม่มีโอกาสออกมาหรือโดนยิงเป้าก็ได้ในสถานการณ์ขณะนั้น แต่เพราะไขแสง เป็นผู้มีความคิดแน่วแน่ ยึดมั่นในอุดมการณ์และความถูกต้อง และเห็นความหมายอันยิ่งใหญ่ของการต่อสู้ของขบวนการนักศึกษา-ประชาชน ที่มีต่อระบอบประชาธิปไตยของไทย เขาจึงยืดอกต่อสู้โดยพร้อมเดินเข้าคุกอย่างมิเกรงกลัว มิได้คิดถึงชีวิตและความสุขส่วนตน

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ไขแสง ต้องเผชิญชะตากรรมที่ลำบากอีกครั้ง เมื่อถูกทางการปราบปรามและล่าตัวจนต้องหลบหนีเข้าป่า พร้อมกับแกนนำนักศึกษาและปัญญาชนหัวก้าวหน้าคนอื่นๆ ในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมร่วมกับนักศึกษา เช่น นายธีรยุทธ บุญมี เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป จีรนันท์ พิตรปรีชา เป็นต้น

เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองคลี่คลาย ด้วยคำสั่ง 66/2523 ตามนโยบาย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ไขแสงและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จึงกลับคืนสู่เมือง แต่เขาก็ยังคงมีจุดยืนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย และมีจิตใจที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชน ไม่เปลี่ยนแปลง

ปี 2543 ไขแสง สุกใส ได้ถึงแก่กรรม การถึงแก่กรรมอย่างสงบของชายชรา ผู้ซึ่งดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายในบั้นปลายชีวิตอันไร้ฐานันดรศักดิ์ ๆ ในสังคม แต่เป็นผู้สร้างคุณงามความดีไว้มากมายให้แก่แผ่นดิน จึงควรที่คนอีสานจะได้รำลึกถึงคุณค่าและแบบอย่างอันกล้าหาญ ของชายคนอีสานผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี

ตลอดชีวิตของไขแสง สุกใส เขาเป็นผู้หนึ่งที่ยึดมั่นในอุดมการณ์หรือหลักการดำเนินชีวิตที่สืบเนื่องถ่ายทอดกันมาในหมู่สังคมอีสานในรูปแบบผญา(ปรัชญา) อย่างมั่นคงและทะนง จึงนับว่าเป็นชีวิตที่เป็นแบบอย่างให้กับอนุชนรุ่นหลังในทุกๆ ชนชั้น ได้ระลึกถึงในขณะที่ภาวะการณ์ของประเทศกำลังต้องการผู้นำนักการเมืองที่ดี เก่ง และมีคุณธรรม ความสามารถ มานำพาชาติบ้านเมืองของเรา ให้ก้าวพ้นวิกฤติและการฟื้นฟูประเทศ

ก่อนจบบทความนี้ จึงขอฝากผญา (ปรัชญา) ที่ นายไขแสง สุกใส มักจะกล่าวไว้ในที่ต่างๆ เสมอๆว่า "คันเจ้าได้ขี่ช้างกั้งห่มเป็นพญา อย่าสุลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า" หวังว่านักการเมืองไทย นักการเมืองอีสาน คงจะตระหนักและเข้าใจดีว่า ประเทศและประชาชนต้องการนักการเมืองเช่นใด มานำพาชาติบ้านเมืองของเรา และคนอีสานควรได้ตระหนักรู้ว่า เราควรเลือกคนเช่นใดมาเป็นผู้แทนประชาชน

Adblock test (Why?)


คนอีสานจากอดีต-ปัจจุบัน กับทางเลือกใหม่ของการเมือง (จบ) - ฐานเศรษฐกิจ
Read More

บ้ากาม! เนียนจอดถามทาง นศ.สาว ก่อนสไลด์หนอนโชว์ จ้องตาเหยื่อไม่กะพริบ - Sanook

บ้ากามป่วนระยอง ขับเก๋งเนียนจอดถามทาง นศ.สาว ก่อนเปิดกระจกสไลด์หนอนโชว์ แม่เหยื่อวอน ตร.รีบจับภัยสังคม!

จากกรณี นักศึกษาสาว ปวช. ปี 1 ของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในระยอง ได้เดินเข้าซอยเพื่อกำลังจะเดินกลับเข้าบ้าน ช่วงเวลานั้น ได้มีเด็กผู้ชายหนึ่งคนเดินนำหน้าไป ก่อนที่ นศ.สาวจะเดินตามหลังมาจู่ๆมีรถยนต์ขับเข้ามาในซอยและจอดดักหน้า ได้เรียก นศ.สาว เข้าไปแล้วนั่งสไลด์หนอนโชว์ในรถ โดยกล้องวงจรปิดจับภาพเหตุการณ์ไว้ได้

วันที่ 27 ก.ค. 65 เวลา 13:30 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง เป็นซอยซุ้มทางเข้าวัดน้ำคอกเก่า มีบ้านคนตลอดทาง ซึ่งจุดเกิกเหตุเป็นบริเวณกำแพงห้องเช่าซึ่งไม่มีคนอยู่ ฝั่งตรงข้ามติดกับหลังร้านโรงกลึง และมีป่าหญ้ารกด้านข้าง ถัดห่างออกไปประมาณ 50 เมตร เป็นร้านขายของชำ โดยช่วงเวลาเกิดเหตุที่จุดนี้ได้มีคนโรคจิตขับรถเก๋ง ยี่ห้อ มาสด้า สีขาวไม่ทราบเแผ่นป้ายทะเบียน เปิดกระจกสไลด์หนอนโชว์นักศึกษาสาว

สอบถาม เจ้าของรำชำ ได้เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุมีน้อง นศ.สาว ได้วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น โดยที่ตนกำลังนั่งขายของอยู่ในร้านก็ตกใจ น้องได้ถามเราว่ารู้จักคนขับรถเก๋งสีขาวไหม ผู้ชายอายุประมาณ 30 ปี เขาได้เปิดกระถามทางน้องว่าห้างเซ็นทรัลไปทางไหน หลังจากนั้นก็สไลด์หนอนโชว์น้อง และก็ขับรถหนีไป ตนก็ตกใจจะวิ่งไปถ่ายทะเบียนแต่ถ่ายไม่ทัน เลยให้น้องนั่งพักที่ร้านก่อน เพราะน้องตัวและสั่นกลัวมาก ซึ่งตนอยู่ซอยนี้มา 20 ปี ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้าน นศ.สาว โดยพบกับน้องบี (ใช้นามสมมุติ) ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเลิกเรียนและได้นั่งรถโดยสารมาลงที่หน้าปากซอยซุ้มทางเข้าวัดน้ำคอกเก่า เป็นช่วงของวันที่ 21 ก.ค. 65 เวลา 15:35 น. โดยมีรถเก๋งสีขาวมาจอด และได้เปิดกระจกรถถามว่า เซ็นทรัลไปทางไหน ตนก็เลยบอกทางไป แต่เขายังได้ยื่นโทรศัพท์ให้ดู แล้วถามว่าเซ็นทรัลแบบนี้ใช่ไหม ตนก็เลยได้เดินเข้าไปดูใกล้ เพราะเห็นไม่ชัด จังหวะนั้นเขาก็ได้สไลด์หนอนโชว์แล้วก็มองมาที่ตน ตนตกใจมากและเดินหนีไปที่ร้านค้า แล้วรถคันนั้นก็ขับหนีออกไปเลย ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับตนมาก่อน

ด้านคุณแม่น้องบี ได้เปิดเผยว่า ตนรู้สึกกลัวมาก และไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพราะเป็นช่วงกลางวันแสกๆ ใครมีลูกเด็กผู้หญิงก็ต้องกลัว เพราะปกติน้องจะเดินออกไปปากทางซุ้มวัด เพื่อนั่งรถโดยสารไปเรียนหนังสือทุกวัน เพราะทางวิทยาลัยจะมีคาบเรียนไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว ซึ่งครอบครัวก็ต้องไปทำงานบางวันก็ไปส่งไม่ได้ ช่วงนี้ก็ต้องให้น้องอาศัยพี่ที่อยู่ในซอยหมู่บ้านเดียวกันเป็นคนไปส่งที่ปากทางซุ้มวัด เพื่อให้น้องได้นั่งรถโดยสารไปเรียนได้ โดยแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองไว้แล้ว และอยากฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตามจับคนก่อเหตุให้ได้โดยเร็ว เพราะมันอันตรายมาก

พ.ต.ท.ธวัฒชัย แต่งเกลี้ยง สว. สอบสวน สภ. เมืองระยอง ได้รับแจ้งเหตุและไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ เพื่อจะหาช่องทางของคนก่อเหตุที่ขับหลบหนี และนำตัวคนก่อเหตุมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

Adblock test (Why?)


บ้ากาม! เนียนจอดถามทาง นศ.สาว ก่อนสไลด์หนอนโชว์ จ้องตาเหยื่อไม่กะพริบ - Sanook
Read More

Tuesday, July 26, 2022

โทรโข่งรัฐบาลโวผลงานด้านโครงสร้างทางบก-ราง-อากาศ-สาธารณสุข - ไทยโพสต์

'ธนกร' โอ่ผลงาน 8 ปีลุงตู่ด้านโครงสร้างพื้นฐานคู่ขนานสาธารณสุข เน้นสร้างรากฐานเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศระยาว

27 ก.ค.2565 - นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตลอดเวลา 8 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมบริหารประเทศเกิดผลเป็นรูปธรรมจริง มีประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ บ้านเมือง ทั้งปัจจุบันและจะส่งผลยาวนานถึงอนาคต ซึ่งรัฐบาลได้เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทุกด้านควบคู่กับการวางระบบสาธารณสุขให้เข้มแข็ง ซึ่งผลงานที่ผ่านมาด้านโครงสร้างพื้นฐานมีความสำเร็จ ได้แก่ 1.ทางบก เช่น สร้างและพัฒนาถนนทั้งถนนทางหลวงและถนนชนบท ครอบคลุมทุกภาคของประเทศไทย สร้างทางด่วนเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเกือบ 10 เส้นทาง ตลอดจนการขยายถนนทางหลวงหลัก เป็นต้น

นายธนกร กล่าวว่า 2. ทางราง เช่น ในพื้นที่ กทม. ได้เชื่อมต่อรถไฟฟ้าเข้าด้วยกัน ครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง รวมทั้งบริหารงบประมาณ ทำสัญญาก่อสร้างทางรถไฟเพื่อต่อเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อช่องทางการคมนาคมระหว่างประเทศ และเพื่อเพิ่มพูนการส่งออกของผลิตภัณฑ์ของประเทศไทย นำมาซึ่งผลประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนคนไทย อีกทั้งยังสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางแรกสู่โคราช ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไม่ช้านี้ และจะสร้างต่อเชื่อมไปอีกเพื่อเปิดประตูเชื่อมต่อ และการส่งเสริมความเจริญในทุกภาคอุตสาหกรรม เพื่อประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานและสามารถสร้างรายได้จากความเจริญที่มากับการคมนาคมที่สะดวกขึ้น

นายธนกร กล่าวว่า 3. ทางอากาศ เช่น การขยายสนามบินเพื่อรองรับการขนส่งทางอากาศและเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยสำหรับปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นการสร้างรายได้หลักของหลายอุตสาหกรรมของประเทศ และเป็นรายได้ที่เชื่อมต่อไปถึงระดับฐานรากของประเทศ รวมถึงการทำโครงการต่อเชื่อม 3 สนามบินเข้าด้วยกัน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) เพื่อความสะดวกของผู้เดินทางและเพื่ออนาคตทางการขนส่งทางอากาศที่ยั่งยืนของไทย

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ นายกฯ และรัฐบาลได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ในการบริหารงานด้านสาธารณสุขในการแก้ปัญหาและดูแลประชาชนทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่องให้ดีที่สุด และให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมาตรการต่าง ๆ ควบคู่กับการดูแลด้านสุขภาพประชาชนโดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน และหาแนวทางทำให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงักอีก โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขนั้น รัฐบาลมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ จนส่งผลให้ไทยติดอันดับต้น ๆ ที่มีการบริการและดูแลประชาชนอย่างดียิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน และบุคลากรที่เป็นเลิศทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ อสม. ทั่วประเทศ

“นายกฯ เน้นย้ำการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุขให้ประชาชนมีสุขภาพดี ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมของประเทศและประชาชนในอนาคต การดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาลถือว่าได้สร้างรากฐานความมั่นคงในหลายๆด้าน เชื่อมั่นว่าจะสามารถขับเคลื่อนสานต่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนกับประเทศได้ต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว

Adblock test (Why?)


โทรโข่งรัฐบาลโวผลงานด้านโครงสร้างทางบก-ราง-อากาศ-สาธารณสุข - ไทยโพสต์
Read More

Monday, July 25, 2022

ไต้หวันปิดเมืองซ้อมรับมือจีนโจมตีทางอากาศ - กรุงเทพธุรกิจ

ไต้หวันปิดเมืองระหว่างการซ้อมรับมือการโจมตีทางอากาศเมื่อวันจันทร์ (25 ก.ค.) ซึ่งถือเป็นวันแรกจากการฝึกซ้อมทางทหารทั่วประเทศประจำปีนาน 4 วัน ท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งกับจีนที่ตึงเครียดยิ่งขึ้น

 การฝึกซ้อมป้องกันภัยทางอากาศ “ว่านอัน” เริ่มขึ้นในหลายเมืองทางภาคเหนือเมื่อเวลา 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นทั่วทุกเมืองและเขตในกรุงไทเป, เขตนิวไทเป. เมืองจีหลง. เมืองเถาหยวน. เมืองซินจู่ และเมืองอี๋หลาน      

ระหว่างการฝึกซ้อมนาน 30 นาทีจะมีการอพยพผู้คน และแนะนำให้ประชาชนที่สัญจรไปมาหาที่กำบัง เช่น สถานีรถไฟใต้ดิน ยานพาหนะได้รับคำแนะนำให้จอดชิดข้างถนน ท้องถนนส่วนใหญ่ว่างเปล่า ประชาชนได้รับคำเตือนให้อยู่ในเคหะสถาน ร้านค้าและร้านอาหารต้องปิดประตูหน้าต่างและปิดไฟเพื่อหลีกเลี่ยงตกเป็นเป้าหมายในเวลากลางคืน  และผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งอพยพระหว่างการฝึกซ้อมจะต้องเสียค่าปรับระหว่าง 30,000-150,000 ดอลลาร์ไต้หวัน

การฝึกซ้อมแบบนี้จะจัดขึ้นในเวลาเดียวกันในภาคกลางในวันอังคาร(26ก.ค.) ภาคใต้วันพุธ(27ก.ค.) และภาคตะวันออกและรอบนอกในวันพฤหัสบดี(28ก.ค.)  การฝึกซ้อมมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงการเตือนภัยฉุกเฉินเพื่อลดโอกาสการบาดเจ็บหรือการเสียชีวิต และความเสียหาย หากเกิดการโจมตีทางอากาศ

สถานการณ์รัสเซียบุกยูเครนทำให้จุดประเด็นถกเถียงในไต้หวันเกี่ยวกับแนวทางการรับมือหากเกิดเหตุการณ์คล้ายกันกับไต้หวัน ท่ามกลางความตึงเครียดที่จีนเพิ่มการเคลื่อนไหวทางทหารรอบเกาะไต้หวัน และไต้หวันยกระดับการเตือนภัยสูงสุดนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครน แม้ว่ายังไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหารที่ผิดปกติของจีนแต่อย่างใด

Adblock test (Why?)


ไต้หวันปิดเมืองซ้อมรับมือจีนโจมตีทางอากาศ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Sunday, July 24, 2022

"ปานเพชร ผดุงชัยมวยไทยยิม" เสียชีวิตแล้ว ทำพิธีทางศาสนาที่สุโขทัย บ้านเกิด - กรุงเทพธุรกิจ

จากกรณีข่าวเศร้าของวงการมวยไทย หลังจากต้องสูญเสียนักชกฝีมือดีอนาคตไกล “ปานเพชร ผดุงชัยมวยไทยยิม” ที่เสียชีวิตลงวานนี้  (23 ก.ค.65) โดยภรรยา ได้แชร์ภาพในอดีตของปานเพชร พร้อมโพสต์เฟซบุ๊ก นิ้งง’งง ระบุข้อความว่า “เองไม่ต้องเป็นห่วงเค้ากับลูกนะ หลับให้สบายนะ ไปเป็นเทวดาบนสวรรค์นะ เวลา 20:30 น. วันที่ 23 ก.ค 65 จากไปไม่มีวันกลับ #ปานเพชร นาย ศรายุทธ กลิ่นมิ่ง เค้ากับลูกรักเองนะ เองจะอยุ่ในใจเค้ากับลูกตลอดไป” และ “ถึงแม้ตัวจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็จะนึกถึงตลอดน่ะ จะอยู่ภพภูมิไหนหรือชาติไหนแต่ใจก็อยู่ด้วยกัน ครั้งสุดท้ายที่ได้กอด ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันไม่คิดว่าจะมาเป็นแบบนี้ #เทวดาของน้อง เดี๋ยวหนูจะดูแลพ่อแม่แล้วก็นินิวแทนพี่เองนะ พี่ไม่ต้องห่วงถึงพี่จะตื่นมาอ่านข้อความนี้ไม่ได้แต่หนูก็จะส่งใจไปแทนเด้อ”

"ปานเพชร ผดุงชัยมวยไทยยิม" ถูก “แอนโทนี่ ทีเอฟซี มวยไทย” นักมวยจากฝรั่งเศสฟต์เตอร์ ใช้ “ศอกกลับ" ในเวทีมวยเยาวชนกองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา จนล้มลงศีรษะฟาดพื้นอย่างแรงในยกสุดท้าย และหมดสติไปไม่รู้สึกตัว ฝ่ายจัดการแข่งขันต้องเร่งรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยใช้ระยะเวลาในการยื้อชีวิตกว่า 2 สัปดาห์แต่ก็ไม่มีปาฏิหาริย์ สร้างความเศร้าเสียใจให้แก่ครอบครัวและวงการมวยไทยเป็นอย่างมาก

"ปานเพชร ผดุงชัยมวยไทยยิม" เสียชีวิตแล้ว ทำพิธีทางศาสนาที่สุโขทัย บ้านเกิด

ล่าสุด (24 ก.ค. 65 ) ครอบครัวโพสต์ว่า "ตอนนี้รอชันสูตรศพ 12.00-14.00 น. #เคลื่อนย้ายศพกลับบ้านที่สุโขทัย 15.00-16.00 น. ถึงบ้าน 19.00-20.00 น. #สวดอภิธรรมเลยคืนแรกค่ะ (ณ บ้านหางตลาด 9/3 หมู่ 3 ต.ท่าฉนวน อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย)" โดยโพสต์ดังกล่าวมีแฟนมวย บุคคลวงการมวย เพื่อนร่วมค่ายมวย เข้าไปโพสต์แสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของปานเพชรเป็นจำนวนมาก

"ปานเพชร ผดุงชัยมวยไทยยิม" เสียชีวิตแล้ว ทำพิธีทางศาสนาที่สุโขทัย บ้านเกิด

Adblock test (Why?)


"ปานเพชร ผดุงชัยมวยไทยยิม" เสียชีวิตแล้ว ทำพิธีทางศาสนาที่สุโขทัย บ้านเกิด - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Saturday, July 23, 2022

พรรคเศรษฐกิจไทย ทางเลือกที่ 3 ของประชาชน - ไทยโพสต์

ต้องติดตามกันต่อไปว่า หลัง พรรคเศรษฐกิจไทย ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหัวหน้าพรรค ได้นำพรรคเศรษฐกิจไทยถอนตัวจากการเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล มาเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทิศทางการเมืองของพรรคเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้จะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร

วิชิต ปลั่งศรีสกุล รองหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยและประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเศรษฐกิจไทย ที่อยู่ในแวดวงการเมืองมานานตั้งแต่สมัยเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี 2544 และ 2548 และเมื่อ ร.อ.ธรรมนัสกับกลุ่มอดีต ส.ส.พลังประชารัฐออกมาตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย ตัววิชิตเองก็ได้เข้าไปร่วมจัดตั้งพรรคและเป็นแกนนำพรรคคนสำคัญในปัจจุบัน โดยเขาได้พูดถึงการขับเคลื่อนพรรคเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้ ภายใต้แนวทางคือ ต้องการทำให้เป็นพรรคการเมืองเพื่อประชาชน โดยการเป็นพรรคการเมืองทางเลือกที่ 3 ให้ประชาชน

วิชิต-รองหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย เริ่มด้วยการพูดถึงการเข้ามาร่วมงานกับ ร.อ.ธรรมนัสที่พรรคเศรษฐกิจไทยว่า ที่ออกจากพรรคเพื่อไทยมาทำงานการเมืองกับพรรคเศรษฐกิจไทย เพราะพิจารณาจากองค์ประกอบคือ หัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นบุคคลที่ได้นั่งคุยแล้วเห็นได้เลยว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์ มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงอย่างมากในการที่จะทำงานให้ประชาชน และเขาเป็นคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มาโดยระบอบประชาธิปไตย คนจังหวัดพะเยาลงคะแนนเสียงให้เข้ามาเป็น ส.ส.ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น และการขับเคลื่อนการทำงานการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัส เช่นการไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่บริหารงานประเทศล้มเหลว ซึ่งการขับเคลื่อนของ ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้ใช้วิธีการที่นอกลู่นอกทาง แต่ขับเคลื่อนในระบอบประชาธิปไตยใช้ ส.ส.ในสภา ใช้วิธีการที่จะทำอย่างไรให้มีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีด้วยระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่เขาทุ่มเททั้งหลายคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจมาร่วมงานกับพรรคเศรษฐกิจไทย

พรรคเศรษฐกิจไทยจะมุ่งอภิปรายนอกสภาฯ เพื่อร่วมกับประชาชน ขับไล่พลเอกประยุทธ์ให้ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงที่สุด...พรรคจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์และยอมรับให้พรรคเศรษฐกิจไทยเป็นทางเลือกที่3ของประชาชน

และอีกส่วนหนึ่ง การที่ผมตัดสินใจออกจากพรรคเพื่อไทย ผมได้คุยกับคนในพรรคทั้งผู้ใหญ่ในพรรคและสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้วว่า การที่ผมออกมาพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เสียหาย กิจกรรมของพรรคยังทำงานกันได้เหมือนเดิม  ยืนยันว่าที่ออกมาจากพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีปัญหาน้อยใจอะไร แต่คิดว่าจะเป็นโอกาสที่ดีหากว่าจะมีพรรคเศรษฐกิจไทย ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ปัญหาของประเทศโดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อิงกับปัญหาการเมืองมากนัก เพราะสถานการณ์ตอนนี้ต้องยอมรับว่าประชาชนเบื่อหน่ายเรื่องการทะเลาะเบาะแว้ง ความแตกแยก หากไปถามประชาชน เขาจะบอกว่าตอนนี้เศรษฐกิจแย่อยู่แล้ว แล้วยังจะมีพรรคการเมืองมาทะเลาะกันอีก เราก็คิดว่าพรรคเศรษฐกิจไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ไปทะเลาะกับใคร แต่มุ่งจะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

ผมก็คิดว่าด้วยบุคลิกของหัวหน้าพรรค และการที่เขาแยกตัวออกมาจากพรรคเดิมพลังประชารัฐ ภายใต้แนวทางคือไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรี มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจ โดยนอกจากที่พรรคเพื่อไทยไม่เสียหายแล้ว การที่มาอยู่กับเศรษฐกิจไทยมันก็ทำให้ผมมีโอกาสที่จะทำงานในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ให้ประชาชนและประเทศชาติได้มากขึ้น โดยไม่ใช่ว่าเพื่อไทยไม่เปิดกว้าง แต่ว่าพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งแนวทางที่พรรคจะเดินก็คือ สิ่งใดที่รัฐบาลทำดีก็สนับสนุน เรื่องใดที่รัฐบาลทำไม่ดี พรรคก็จะคัดค้าน

วิชิต-รองหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ย้ำว่า พรรคการเมืองของไทยที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2489 เป็นต้นมา ที่เริ่มมีพรรคการเมือง พบว่าพรรคการเมืองมีด้วยกัน 5  ประเภท ประกอบด้วย

1.พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ที่เป็นพรรคการเมืองและต้องการจะมีสมาชิกพรรคให้มากขึ้น

2.พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาแล้วมีส่วนสนับสนุนรัฐบาล  ที่ก็คือพรรคร่วมรัฐบาล

3.พรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ก็เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน

4.พรรคการเมืองประเภทที่สี่ก็คือลักษณะแบบพรรคเศรษฐกิจไทยคือ รัฐบาลทำดี ทำถูกต้อง เป็นประโยชน์กับประชาชนก็สนับสนุน แต่เรื่องใดไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องการทุจริต เราก็จะทักท้วง คัดค้าน

5.พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองอย่างเดียว

"จากประเภทของพรรคการเมืองไทยดังกล่าว  พรรคเศรษฐกิจไทยนับเป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในประเภทที่ 4 ที่มีแนวนโยบายเพื่อประชาชนที่แท้จริง ซึ่งความชัดเจนของพรรคคือ เป็นพรรคการเมืองที่เป็นอิสระ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชน เป็นพรรคการเมืองที่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เป็นพรรคฝ่ายค้านเพื่อทะเลาะกับรัฐบาล โดยหากรัฐบาลทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง พรรคเศรษฐกิจไทยจะคัดค้าน สิ่งนี้คือจุดยืนพรรคเศรษฐกิจไทย"

-ทิศทางของพรรคเศรษฐกิจไทยหลังจบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ 23 ก.ค. คือจะเป็นฝ่ายค้าน?

จะเป็นพรรคฝ่ายประชาชน ฝ่ายประชาธิปไตยที่ถือประชาชนเห็นหลัก จะเรียกเราว่าพรรคการเมืองฝ่ายไหนก็ไม่เป็นไร แต่เราเป็นฝ่ายอิสระ คือถ้ารัฐบาลทำถูกต้อง นโยบายดี เราก็สนับสนุน แต่หากรัฐบาลทำไม่ดี ทุจริต มีการออกนโยบายที่ไม่ดี มีเรื่องซ่อนเร้น พรรคเศรษฐกิจไทยจะคัดค้าน โต้แย้ง ก็อาจเป็นพรรคการเมืองประเภทที่ 4 ของพรรคการเมืองไทย คือเป็นพรรคฝ่ายประชาชน รักษาผลประโยชน์ของประชาชน เราจะเป็นพรรคการเมืองที่ทำประโยชน์ให้ประชาชนโดยตรง

-ประชาชนจะงงไหม จะเป็นรัฐบาลก็ไม่ใช่ ฝ่ายค้าน ก็ไม่เชิง?

เราก็ต้องพยายามทำให้ประชาชนเข้าใจ เพราะบางคนหรือนักการเมืองบางคนก็ยังบอกว่า พรรคฝ่ายกลางไม่มี แต่ความจริงเป็นพรรคอิสระที่อยู่ข้างประชาชน ยืนข้างประชาชน อันไหนเป็นประโยชน์เราก็สนับสนุน เรื่องใดไม่ถูกต้องพรรคก็จะออกมาคัดค้าน คือก็จะเป็นการค้านแบบอิสระ  ไม่ใช่ว่าจะค้านไปทุกเรื่อง แต่ถามว่าพรรคอยู่กับรัฐบาลหรือไม่ เราไม่อยู่ เพราะคนของพรรคก็ลาออกจากวิปรัฐบาลหมดแล้ว

พรรคเศรษกิจไทย

ไม่หนุน ไม่ร่วมสังฆกรรม 'ประยุทธ์'

-แนวทางและจุดยืนการเมืองของพรรคคือไม่เอาพลเอกประยุทธ์?

การไม่เอาพลเอกประยุทธ์เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนเสียงส่วนมาก และจากการต่อสู้ของหัวหน้าพรรค  ร.อ.ธรรมนัสตลอดมา ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาพลเอกประยุทธ์ เพราะว่าการบริหารงานล้มเหลว เห็นได้ชัดเจน ประเทศเป็นหนี้สินต่างประเทศและหนี้สาธารณะจำนวนมากในช่วงการเป็นนายกฯ แปดปี และตอนนี้ระบบเศรษฐกิจล้มระเนระนาดไปหมด การที่พลเอกประยุทธ์บอกว่าตัวเองไม่ทุจริต แต่สมมุติว่าเขาไปเดินตลาด โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลไปร่วมเดินด้วย แล้วไปหยิบหมู หยิบอาหาร หยิบของในตลาด โดยกินฟรี ซึ่งพลเอกประยุทธ์ก็เห็นแต่ไม่ว่าอะไร ถามว่าแบบนี้ผิดหรือไม่ ที่ปล่อยปละละเลย ไม่ควบคุม เรื่องแบบนี้มันเยอะมาก

-ในอนาคตหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ถ้าประชาชนถามว่าพรรคเศรษฐกิจไทยจะหนุนพลเอกประยุทธ์กลับมาหรือไม่?

ชัดเจนว่าไม่หนุนพลเอกประยุทธ์แน่นอน ส่วนจะจับมือกับพรรคเพื่อไทย หรือจับมือกับพลังประชารัฐ หรือพรรคการเมืองอื่นๆ ก็เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้า แต่หากมีพลเอกประยุทธ์บริหาร ก็คิดว่าพรรคไม่ไปร่วมด้วยแน่นอน

สถานการณ์ในปัจจุบันรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ บริหารประเทศมาตั้งแต่ยึดอำนาจปี 2557 ต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบันมากกว่า 8 ปี ไม่มีปัจจัยด้านบวกเลยแม้แต่น้อย นับแต่มีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มุ่งสืบทอดอำนาจให้ตนเองเป็นนายกฯ เกิดกระบวนการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ สร้างหนี้สินให้ประเทศนับสิบล้านล้านบาท เศรษฐกิจดิ่งเหว ธุรกิจหลายกลุ่มล้มระเนระนาด ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทำให้เกษตรกรกลุ่มต่างๆ ขายพืชผลได้ไม่คุ้มต้นทุน เงินเฟ้อ เศรษฐกิจฝืดเคือง เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง น้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า และสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคขึ้นราคาจนประชาชนต้องเดือดร้อนกันไปทั้งประเทศ รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน มัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งกับพรรคฝ่ายค้าน ไม่คิดจะร่วมมือร่วมใจกันเพื่อแก้ไขเยียวยาให้พี่น้องประชาชน จนทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่มีความหวัง โดยเฉพาะกับรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี พรรคเศรษฐกิจไทยมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชน ได้ประจักษ์ชัดถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศและเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ข้างต้นแล้ว ประกอบกับพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ จะครบ 8 ปีในเดือนสิงหาคม 2565 นับแต่เป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ต่อเนื่องมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 จนถึงปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ยังแสดงท่าทีจะเป็นนายกฯ ต่อไปอีก โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะเดือดร้อนลำเค็ญจากพิษเศรษฐกิจที่รัฐบาลบริหารล้มเหลว  ไม่สนใจเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ตนเองและคณะสร้างขึ้นมาเอง กำหนดให้นายกรัฐมนตรีอยู่ได้ไม่เกิน 8 ปี ซึ่งแม้แต่กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อให้มีบัตรสองใบในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ยังจงใจฝืนเจตนารมณ์ของบัตรสองใบที่ต้องการให้มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน โดยใช้ 100  หารคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับคะแนนเสียงจากประชาชน  โดยพลเอกประยุทธ์และคณะใช้เสียงข้างมากในรัฐสภาลงมติใช้ 500 หารเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง

พรรคเศรษฐกิจไทยไม่อาจรับสภาพของการบริหารที่ล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์ได้อีกต่อไป จึงต้องตัดสินใจถอนตัวจากวิปรัฐบาลเพื่อทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างอิสระ เพื่อปกป้องเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

แม้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะไม่แบ่งเวลาให้ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยได้อภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ในสภาก็ตาม พรรคเศรษฐกิจไทยจะมุ่งอภิปรายนอกสภา เพื่อร่วมกับประชาชนขับไล่พลเอกประยุทธ์ให้ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงที่สุด”

วิชิต-ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเศรษฐกิจไทย กล่าวต่อไปว่า การขับเคลื่อนของพรรคต่อจากนี้ คือทำให้พรรคเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชน ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรค มาร่วมคิดร่วมทำ ก็เป็นแนวทางที่เราจะเดินไปสู่ตรงนั้น ให้ประชาชนมีความสุข  เพราะวันนี้ประชาชนมีความทุกข์จากปัญหาเศรษฐกิจ ก็จะเดินไปในทางนี้ด้วยแนวนโยบายของพรรคที่จะนำเสนอออกมา ซึ่งยุทธศาสตร์ที่จะไปถึงจุดดังกล่าวอาจต้องใช้นโยบายเป็นเครื่องมือ โดยนโยบายของพรรคเศรษฐกิจไทย ขณะนี้ก็คิดกันหลายด้าน

อย่างเรื่องนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคได้มีการร่วมพูดคุยกับที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของพรรค ถึงแนวนโยบายที่จะพัฒนาและกำหนดนโยบายในเรื่องของชุมชน  หรือเรียกว่า การฟื้นฟูชนบท ในลักษณะที่จะให้มีการผันเงินลงไปในชุมชน เศรษฐกิจฐานราก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากโดยให้อิสระ เช่นผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์การบริหารส่วนตำบล  โดยเรามีแนวคิดจะผันเงินลงไป แต่ให้ประชาชน คนในพื้นที่เป็นคนคิดนโยบาย การทำโครงการงบประมาณต่างๆ ภายใต้โครงสร้างที่มีคณะกรรมการคอยพิจารณาควบคุม เพื่อพิจารณาว่าโครงการหรือสิ่งที่คนในชุมชนต้องการผลักดันจะทำเป็นเรื่องที่สามารถทำได้หรือไม่ โดยหากพิจารณาแล้วสามารถทำได้ ก็จะมีการสนับสนุนให้มีการดำเนินการออกมาอย่างเบื้องต้น หากทำผ่าน อบต.ก็อาจให้ปีละ 30  ล้านบาท โดยให้ประชาชนในพื้นที่ไปคิดว่าจะทำโครงการอะไรที่ทำแล้วจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่เป็นเงินที่ให้ไปแล้วเกิดการสูญเปล่า คือต้องมีผลกลับมา แนวทางดังกล่าว ส่วนหากเป็น อบจ.อาจเป็นปีละ 100 ล้านบาท รวมแล้วทั้ง อบจ.-อบต.ก็จะใช้เงินประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาทต่อปี โดยใช้ติดต่อกันห้าปี ที่จะทำให้ช่วยฉุดเศรษฐกิจฐานรากขึ้นมาได้  จะทำให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างการบริหารจัดการของคนในท้องถิ่นได้ ให้มีเงินหมุนเวียนในพื้นที่ โดยเน้นให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกันคิดและร่วมกันทำโครงการที่เขาเห็นว่าในหมู่บ้าน ชุมชน อบต.ของเขา ควรจะทำอะไรที่ก่อให้เกิดรายได้และเกิดประโยชน์ในพื้นที่ 

เดินหน้า-ไม่มีถอยหลัง

ย้ำไม่ใช่ 'พรรคเฉพาะกิจ'

-พรรคมีการเตรียมความพร้อมสำหรับเลือกตั้งแค่ไหน เพราะคนยังมองว่าจะเป็นพรรคเฉพาะกิจ หรือไม่ ตัว ร.อ.ธรรมนัสจะย้ายกลับเพื่อไทยหรือไม่?

พรรคเศรษฐกิจไทยมีการเตรียมความพร้อมเรื่องการเลือกตั้งตลอด เช่นเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา พรรคประกาศรับสมัครคนที่สนใจจะลงสมัคร ส.ส. ที่หากใครสนใจให้มาสมัครกับพรรคได้นับจากนี้ รวมถึงมีการตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยพรรคได้แบ่งโครงสร้างในส่วนนี้ออกเป็น 9 ภาคเพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรคทั่วประเทศ 

ปัจจุบัน พรรคเศรษฐกิจไทยมีความพร้อมไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อใด โดยจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ครบ 400 เขต  และปาร์ตี้ลิสต์อีก 100 ชื่อ สำหรับเป้าหมายของพรรคต่อจำนวน ส.ส.หลังเลือกตั้ง ก็ต้องดูจากองค์ประกอบต่างๆ เช่น  สถานการณ์ของพรรคเศรษฐกิจไทย ที่เราจะนำเสนอนโยบายหรือจุดขายของพรรค ประชาชนจะให้ความเชื่อมั่นเชื่อถืออย่างไร ซึ่งทางพรรคจะพยายามทำให้พรรคเศรษฐกิจไทยและ ร.อ.ธรรมนัส หัวหน้าพรรค ได้รับการยอมรับจากประชาชน ซึ่งถึงตอนนั้นคิดว่าพรรคจะได้ ส.ส.หลังเลือกตั้งเข้ามาพอสมควร

ส่วนที่ถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า พรรคเศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าทำพรรคต่อไปจนถึงตอนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ หรือจะเดินหน้าได้ไกลจนเป็นพรรคที่ยั่งยืนมั่นคง ผมขอยืนยันว่าพรรคมีแนวคิดและแนวทางที่จะเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่พรรคการเมืองเฉพาะกิจที่ทำแล้วจู่ๆ ก็จะเลิก จะไปอยู่พรรคเพื่อไทย เพราะก็มีข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส และตัวผมเอง ก็ยอมรับว่ามีการติดต่ออยู่ บางคนบางส่วนมาชวนไป ชวนให้กลับไปอยู่พรรคเพื่อไทย แต่ผมก็ขอบอกว่าผมเดินไปข้างหน้า ผมเดินหน้าแล้ว ผมถอยหลังไม่เป็น ก็ต้องเดินหน้ากันไป ซึ่งก็เชื่อว่าหัวหน้าพรรคตั้งใจและมุ่งมั่นเช่นนี้

วิชิต-รองหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ย้ำว่าพรรคมีจุดแข็ง จุดขายทางการเมือง อย่างที่ตอนผมมาอยู่ พรรคเศรษฐกิจไทยค่อนข้างจะเป็นที่ฮือฮา เพราะหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัสก็มีจุดขาย เพราะมีบุคลิกแบบใจถึงพึ่งได้ กล้าได้กล้าเสีย คือเมืองไทยเราคนเก่งเยอะที่จะมาบริหารประเทศ  แต่คนกล้ามันไม่ค่อยมี ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส หัวหน้าพรรคจากที่ได้นั่งคุยกัน ที่เห็นได้ว่าเป็นคนมีวิชัน มีวิสัยทัศน์แล้ว ยังเป็นคนกล้าที่จะตัดสินใจ เพราะประเทศไทยบางอย่างมีความจำเป็นต้องพลิกผันให้หน้ามือเป็นหลังมือ ในบางเรื่องที่จำเป็น

ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง พลังงาน ที่ทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคได้ร่วมหารือกับที่ปรึกษาด้านนโยบายพรรค  โดยหลังจากนี้จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาสองชุดในส่วนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค โดยชุดแรกคือคณะทำงานพิจารณาเรื่องนโยบายในการพลิกฟื้นชนบท และพลิกฟื้นพลังงานของชาติ โดยในส่วนของพลังงานที่สำคัญคือ จะเสนอให้มีการยกเลิกโครงสร้างค่าการกลั่นน้ำมันของโรงกลั่น  เพื่อทำให้ราคาน้ำมันลดลงอย่างเป็นธรรมให้กับประชาชน  เพราะวันนี้ประชาชนซื้อน้ำมันในราคาแพง ที่มีค่าการกลั่นที่รัฐบาลหรือองค์กรที่รับผิดชอบบวกเข้าไปมากกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ อย่างสมมุติค่าการกลั่นราคา 1-2 บาท ตอนนี้บางช่วงก็ขึ้นมาเป็น 8 บาท 10 บาท บางช่วง 12 บาทก็มี ไปบวกเป็นค่ากลั่นที่เป็นค่าใช้จ่ายเทียมของค่าการกลั่น โดยสมมุติฐานว่าโรงกลั่นประเทศไทยไม่มี แต่ไปอยู่สิงคโปร์ แล้วคิดราคาค่ากลั่นอิงราคาสิงคโปร์ ทั้งที่โรงกลั่นอยู่ประเทศไทย  แล้วก็มาบวกภาษี ค่าใช้จ่าย ค่าน้ำมัน ค่าขนส่ง เลยทำให้ต้นทุนสูง หากยกเลิกตรงนี้ได้ราคาน้ำมันจะลดได้ 8-10 บาทต่อลิตร อย่างมาเลเซียที่ราคาน้ำมันแค่ลิตรละ 16 บาท ก็เพราะเขามีบริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัท Petronas ที่เขาถือว่าน้ำมันเป็นทรัพยากรของคนมาเลเซีย กำไรทุกบาทแทนที่จะเข้ากระเป๋าผู้ถือหุ้นเหมือนคนที่ดูแลในเมืองไทย เขาคืนให้ประชาชน

ดึงขุนพลเศรษกิจ เสริมแกร่งพรรค

-ชื่อพรรคคือเศรษฐกิจไทย ในส่วนทีมเศรษฐกิจของพรรค เปิดชื่อออกมาจะขายได้ไหมในทางการเมือง?

ได้แน่นอน เพราะอย่างคนที่พรรคพูดคุยด้วยเช่น ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ผ่านตำแหน่งสำคัญมามากมาย เช่น อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย, อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่เวลาพรรคมีประเด็นอะไร ขอคำปรึกษาไป ทางนายธีระชัยก็มาช่วยชี้แนะ มาร่วมประชุมหารือกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค โดยนายธีระชัยพร้อมจะมาช่วยพรรค เพราะเขาเห็นแนวทางของพรรคเศรษฐกิจไทย ในการทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชน รวมถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชน นายธีระชัยเห็นว่าพรรคเรามุ่งมั่นที่จะทำงาน จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้

นอกจากนี้ก็ยังมี ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน พรรคก็เชิญมาร่วมเป็นที่ปรึกษา ที่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรในเรื่องของพลังงาน ก็คิดว่าเมื่อพรรคเปิดตัวทีมงานด้านเศรษฐกิจจะได้รับความสนใจจากประชาชนมาก นอกจากนี้พรรคยังมีการติดต่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอีกหลายคน แต่ขอรอความชัดเจนอีกระยะก่อน ยืนยันว่านโยบายเศรษฐกิจของพรรคเศรษฐกิจไทยมีความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นแน่นอน เชื่อว่าประชาชนเห็นนโยบายแล้วจะมีความมั่นใจกับพรรคเศรษฐกิจไทย

-มีกระแสข่าวออกมาช่วงหลังว่า 16 ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยเวลานี้ สุดท้ายแล้วอาจไม่ได้อยู่กับพรรคด้วยกันทั้งหมด เพราะข่าวว่าบางคนจะไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ก็อาจจะกลับพรรคเดิม พลังประชารัฐ?

ก็อาจมีแค่ 1-2 คนเท่านั้น เท่าที่ทราบ เพราะพบว่าช่วงหลังไม่ค่อยมาร่วมกิจกรรมกับทางพรรค นอกนั้นก็พร้อมจะเดินหน้าไปด้วยกัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเกือบทั้งหมดก็มาร่วมประชุมกัน

จะมี ส.ส.ปัจจุบันที่เป็น ส.ส.จากพรรคอื่น ทั้งพรรคเล็ก พรรครัฐบาล และฝ่ายค้าน อาจจะย้ายมาพรรคเศรษฐกิจไทยหรือไม่?

ก็มีบ้าง มีติดต่อมา ก็จะนัดคุยกันอยู่ เพราะเขาอยากจะมาอยู่ด้วย นอกจากนี้ก็มีอดีตนักการเมืองท้องถิ่น เช่นระดับ อบจ.ก็สนใจสมัครเข้ามาร่วมงานกับพรรคจำนวนมาก เพื่อต้องการลงสมัคร ส.ส.ระบบเขต

ในช่วงต่อจากนี้ก่อนจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พรรคมีหลายเรื่องต้องเตรียมการเพราะเป็นพรรคการเมืองจัดตั้งใหม่  เช่นการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ ส่วนเรื่องยุทธศาสตร์พรรคและนโยบายพรรคโดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ก็มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ดังนั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น เช่นมีการยุบสภา พรรคพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคจะเน้นนโยบายเรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้อง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชน ส่วนการเมืองพรรคจะไม่ทะเลาะกับใคร ไม่เป็นศัตรูกับพรรคการเมืองไหน โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นและตรวจสอบอย่างละเอียดกับหลายโครงการของรัฐบาลที่ทำอยู่ ยืนยันได้ว่าพรรคไม่ได้เป็นแบงก์พันของใครทั้งสิ้น 

"พรรคเศรษฐกิจไทยจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์และยอมรับให้พรรคเศรษฐกิจไทยเป็นทางเลือกที่ 3 ของประชาชน" วิชิต แกนนำพรรคเศรษฐกิจไทยกล่าวในตอนท้าย.

Adblock test (Why?)


พรรคเศรษฐกิจไทย ทางเลือกที่ 3 ของประชาชน - ไทยโพสต์
Read More

ฝีดาษลิงชายไนจีเรีย หนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ มีคนช่วยเหลือฝ่าฝืนกม! - Hfocus

กรมควบคุมโรคแถลง “ชายไนจีเรีย” ป่วยฝีดาษลิงรายแรกในไทย หลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติจังหวัดชายแดน กระทรวงต่างประเทศประสานประเทศกัมพูชา ป้องกันการแพร่เชื้อ ส่วนไทยเฝ้าระวังผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม เบื้องต้นไม่พบเชื้อ เข้มมาตรการ รพ. คลินิก เฝ้าระวังผู้สงสัย ขณะที่องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศโรคฉุกเฉินด้านสาธารณสุข

เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 23 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข   นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) แถลงข่าวประเด็น "ความคืบหน้ากรณีโรคฝีดาษวานร ในประเทศไทย" ว่า  หลังจากพบผู้ป่วยฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง ที่เป็นชายชาวไนจีเรียในประเทศไทยรายแรกตามที่มีการแถลงไปก่อนหน้านี้นั้น ซึ่งรายนี้ก็จะเป็นประเทศที่ 66 ของทั่วโลกที่พบผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม  ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกได้มีการประชุมประเมินสถานการณ์โรคฝีดาษวานร และพิจารณา “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข”  ล่าสุดยังไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เพราะโรคไม่รุนแรง และไม่ติดต่อง่าย   โดยหลักเกณฑ์กว้างๆทั่วไปโรคที่จะเป็นภาวะฉุกเฉิน ต้องมีความรุนแรง มีความสามารถแพร่ระบาดติดต่อกันง่าย และจำเป็นจำกัดการเดินทางของประชาชนทั่วโลก แต่ฝีดาษลิง ความรุนแรงไม่ได้มากนัก หลังการระบาดมา 2 เดือน พบผู้ป่วย 14,000 กว่าราย และส่วนใหญ่หายได้เอง ผู้เสียชีวิตน้อยมาก

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีชายชาวไนจีเรียที่ตรวจพบฝีดาษวานรนั้น  ผู้ป่วยรายนี้ได้ติดตามโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทางภูเก็ต โดยให้ข้อมูลตอนเข้าประเทศไทยว่า จะมาเรียนภาษาที่เชียงใหม่ แต่ไม่ปรากฏว่า เขาไปทำอะไร อย่างไร และเมื่อเจ้าหน้าที่ติดต่อไปก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ลักษณะไม่เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปที่เวลาเป็นโรคอะไร ส่วนใหญ่จะให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ รวมถึงมีพฤติกรรมหลบหนี เวลาติดต่อเจ้าหน้าที่จะหลบเลี่ยง ล่าสุดพบสัญญาณมือถือแถวจังหวัดชายแดน ซึ่งนักท่องเที่ยวรายนี้ไม่ใช่นักท่องเที่ยวธรรมดา น่าจะมีคนช่วยเหลือหลบหนีในประเทศไทย จากนี้ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพราะกรณีจะมีกฎหมายอื่นใช้ร่วมกัน

“ ขณะนี้กรมควบคุมโรค ได้ร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ภูเก็ต ส่วนกลาง และจังหวัดชายแดน รวมทั้งข้อมูลที่ได้เบื้องต้นอาจจะหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติตรงชายแดนไป เราได้ขอความร่วมมือกระทรวงการต่างประเทศให้ประสานชายแดนกัมพูชาที่เขาหลบหนีไป เพื่อติดตามป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาด รวมทั้งหน่วยงานท้องถิ่น หน่วยงานติดกัน อย่างจังหวัดสระแก้ว จะได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฝั่งตรงข้ามติดตามผู้ติดเชื้อต่อไป” นพ.โอภาส กล่าว

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมเชิงรุก ว่า จากการสอบประวัติเบื้องต้น พบว่า มีสถานบันเทิง 2 แห่ง ซึ่งมีการคัดกรองโดยดูจากอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หรือมีตุ่มผื่นขึ้น ได้คัดกรองไป 142 ราย มี 6 รายมีไข้ เจ็บคอ ปวดตามตัว ไม่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน ส่งตรวจหาเชื้อ 5 ราย และผลตรวจไม่พบเชื้อ ซึ่งต้องติดตามอาการอีก 21 วัน  ส่วนอีกรายไปต่างประเทศแล้ว  ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือไม่มีตุ่มขึ้นก็จะมีการติดตามอาการต่อเนื่อง 21 วัน

อีกมาตรการคือ ต้องมีการค้นหาเชิงรุก จากผุ้ป่วยโรคผื่นผิวหนังอื่นๆ รวมทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รับบริการในโรงพยาบาล 3 แห่ง และคลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 3 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล และมีการสุ่มตรวจ เบื้องต้นมี 183 ราย อันนี้ ไม่ได้หมายความว่า 183 รายเป็นผู้สัมผัส แต่เป็นมาตรการค้นหาเชิงรุก  นอกจากนี้ มาตรการค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดรวม 33 ราย ซึ่งไม่มีอาการป่วย มีตั้งแต่ตรวจที่พักอาศัย ในชุมชน โรงแรม โรงพยาบาล ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ โดย 19 รายเหมือนมีประวัติเสี่ยงสูง แต่อีก 14 รายไม่มีความเสี่ยง ทั้งหมดต้องสังเกตอาการ 21 วัน

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า ได้มีการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม ส่งตรวจหาเชื้อแล้วทั้งหมด 38 ราย ตรวจไม่พบเชื้อฝีดาษวานร 7 ราย และอยู่ระหว่างการตรวจหาเชื้อ 31 ราย  ทั้งนี้ ข้อแนะนำสำหรับประชาชนขอให้ใช้มาตรการ Universal Prevention  ป้องกันโรคได้ดี เน้นการล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะหว่าง แต่หากมีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต มีตุ่มน้ำตุ่มหนอง ให้รีบพบแพทย์ ไม่ควรหลบหนี เพราะการพบแพทย์จะได้รับการรักษา การหลบหนีเป็นการทำผิดกฎหมายประเทศไทย

“บางคนถามปัสสาวะมากระเด็นใส่เราจะติดหรือไม่ ไม่ติดหรอก    โรคนี้ไม่ได้ติดง่ายๆ เชื้ออยู่ตามตุ่มตามหนอง ต้องสัมผัสใกล้ชิด เดินเฉียดกันไม่ติดแน่นอน ติดยากกว่าโรคเอดส์ ซึ่งเป็นโรคเพศสัมพันธ์จริงๆ ตุ่มขึ้นภายใน 2 สัปดาห์จะแห้งแล้วหายไป ไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

นพ.โอภาส กล่าวว่า สรุป คือ องค์การอนามัยโลก ยังไม่ประกาศให้เป็นโรคภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข และสถานการณ์อยู่ในการควบคุม ส่วนผู้ติดเชื้อรายแรก ต่อไปก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ ส่วนผู้สัมผัส ผู้มีความเสี่ยงขณะนี้อยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม และมีการยกระดับการเฝ้าระวัง โดยเฉพาะคลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และคลินิกอื่นๆ หากพบสงสัยก็จะมีการวินิจฉัยต่อไป ส่วนประชาชนทั่วไป ไม่มีความเสี่ยงให้ใช้ชีวิตตามปกติ และปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคล ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง เป็นต้น   

เมื่อถามว่า ต้องระวังจังหวัดไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ไม่ต้องระบุจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ทุกจังหวัดควรมีความตื่นตัว เพราะการเฝ้าระวังก็จะมีสถานพยาบาล เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยมีตุ่มขึ้นก็จะไปรพ. เราจึงให้สถานพยาบาลมีความตื่นตัวเฝ้าระวัง ส่วนภูเก็ต เป็นจังหวัดคัดกรองเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาไม่พบความเสี่ยงมาก คิดว่ามาตรการเหมาะสมกับสถานการณ์ ส่วนการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศ มีกฎระเบียบของนานาชาติ ต้องอาศัยความร่วมมือหลายหน่วยงาน อย่างกระทรวงต่างประเทศช่วยดูว่า ประเทศต้นทางมีการระบาดมากน้อยแค่ไหน และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นด่านเบื้องต้น และด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ และกระทรวงคมนาคม ในฐานะเจ้าของช่องทาง ซึ่งขณะนี้ทุกหน่วยงานรับทราบเรื่องนี้ และร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด

เมื่อถามว่าฝีดาษวานรในเด็กเล็กอันตรายหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า โรคนี้ โดยเฉพาะสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ความรุนแรงน้อย ผู้เสียชีวิตไม่มาก แต่ทุกโรค โดยเฉพาะโรคติดต่อ โรคติดเชื้อ กลุ่มเปราะบางที่เมื่อติดเชื้อและส่วนใหญ่อาการจะรุนแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว ก็ต้องระวังหลีกเลี่ยงติดเชื้อ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ติดจะเป็นชาย อยู่ในช่วงวัยรุ่น วัยกลางคน เด็กเล็กไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แต่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องหลีกเลี่ยงอย่าให้คนมีตุ่มขึ้นมาสัมผัสใกล้ชิดกับเด็ก

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าชายไนจีเรียอยู่ในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2564 อาจจะมีการติดเชื้อภายในประเทศหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า เนื่องจากเราไม่เจอตัวชายคนดังกล่าว ซึ่งประวัติชัดๆ ก็ไม่มี เป็นคนที่มีพฤติกรรมมไม่ตรงไปตรงมา บางข่าวบอกว่ามีการเดินทางเข้าๆ ออกๆ เป็นต้น

เมื่อถามว่าจะต้องมีการตรวจเชิงรุกในกลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ก็มีการเฝ้าระวังคัดกรองอยู่ แต่ขอไม่พูดถึงกลุ่ม เพื่อไม่ให้มีการบูลลี่กัน

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

Adblock test (Why?)


ฝีดาษลิงชายไนจีเรีย หนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ มีคนช่วยเหลือฝ่าฝืนกม! - Hfocus
Read More

ทางเลี่ยงแยกแม่ริม ล่าช้า ชาวบ้านวอนเร่งเปิดถนนแก้รถติดหนัก - เชียงไหม่นิวส์

ทางเลี่ยงแยกแม่ริม ล่าช้า แผนจัดรูปที่ดินจะร่วม 4 ปี ชาวบ้านวอนเร่งเปิดถนนแก้รถติดหนัก

ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากผู้นำชุมชนย่าน บ.ศรีบุญเรือง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ว่าหลังจากมีการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน เพื่อพัฒนาพื้นที่ อ.แม่ริม ระหว่างทางหลวง 107 (เชียงใหม่-ฝาง) และถนนเลียบคลองส่งน้ำชลประทานแม่แตง บริเวณ ทต.แม่ริม และ อบต.แม่สา โดยเป็นการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 657 ม. เขตทางกว้าง 16 ม. รวมทางเดินเท้า 2 ข้าง พร้อมงานสาธารณูปโภคระบบระบายน้ำ ขยายเขตไฟฟ้า และประปา มีการแจ้งประกาศสัญญาจ้างเหมา ตั้งแต่ 25 เม.ย. 2562 สิ้นสุด ก.ค.2563 ระยะเวลา 450 วัน วงเงินก่อสร้าง 23,980,000 บาท

จากการสอบถามผู้ใช้เส้นทาง สัญจร ย่านดังกล่าวเป็นประจำกล่าวว่า แยกแม่ริมเป็นโครงการล่าช้า นานเกินไป ระยะทางเพียง 657 ม.เท่านั้น ซึ่งเข้าใจว่าขั้นตอน การจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ แต่ละขั้นตอนคงใช้เวลา ซึ่งความคืบหน้าแผน ก่อสร้างเท่าที่เคยพูดคุยกับผู้รับผิดชอบ ระบุว่า ทางผู้ตรวจราชการกรมโยธาธิการและผังเมือง เขต 15 ก็รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น มีการลงพื้นที่ตรวจติดตามผลการปฏิบัติงาน และเน้นย้ำให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งรัดแผนงาน เพราะในช่วงเทศกาล สายทางแยกนี้ จะเป็นอีกจุดที่มีปัญหารถติดหนัก เนื่องจากเป็นสายทางสู่แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่ง ทางหลวงแจงแยกแม่ริม

“ประกอบกับสายทางแม่โจ้ -พร้าวเส้นที่ผ่านแยก รพ.สันทราย ไปตัดออกทางเลี่ยงแม่แตง-ปาย ไปแม่ฮ่องสอน ก็มีการก่อสร้างขยายผิวทาง ช่วงหน้าฝน สัญจรกันลำบาก ยิ่งช่วงวันหยุดยาว เป็นอีกเส้นทางที่รถติดหนัก ซึ่ง ทางเลี่ยงแม่ริม หากเปิดทางแยกร่วมนี้จะสามารถใช้เส้นทางเลียบคันคลองชลประทานไปออก สายแม่ริม ม่อนแจ่มได้สดวก”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงคืนวันศุกร์ (22 ก.ค. 2565) ที่ผ่านมา ปรากฎว่า ฝนตกหนัก ส่งผลให้ สายทาง 107 ช่วงแยกแม่ริม-ไปแยกแม่มาลัย มี ฝนเจิ่งนอง บนผิวทางระหว่างแท่งแบริเออร์ที่กั้นแบ่งถนน ซึ่งผู้ไม่ชำนาญเส้นทาง หรือรถขนาดใหญ่ใช้ความเร็ว ทำให้น้ำสาดกระเซ็นไปถูกผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ รถขนาดเล็ก เสียการควบคุมได้ นอกจากนั้นในช่วงดึก ส่วนใหญ่จะมีรถขนาดใหญ่ไม่ว่ารถ 6 ล้อ 18 ล้อ บรรทุกผลผลิต สินค้า วิ่งขึ้นล่องในเส้นทางสายดังกล่าว เป็นระยะๆ ผู้ที่ไม่ชำนาญเส้นทางต้องใช้ความระมัดระวัง ปฏิบัติตามป้ายเตือน แนะนำอย่างเคร่งครัดด้วย เพราะอุบัติเหตุที่เกิด จะเป็นรถจากต่างจังหวัด มาท่องเที่ยว สายแม่แตง ไปปาย แม่ฮ่องสอน ไปเชียงดาว

Adblock test (Why?)


ทางเลี่ยงแยกแม่ริม ล่าช้า ชาวบ้านวอนเร่งเปิดถนนแก้รถติดหนัก - เชียงไหม่นิวส์
Read More

Friday, July 22, 2022

วิจัยกสิกรฯ ชี้ตลาดโปรตีนทางเลือกปีนี้เจอข้อจำกัด จากผลกระทบค่าครองชีพ-ต้นทุนสูง : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 65 ตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่อาจมีมูลค่าประมาณ 4,100 ล้านบาท ขยายตัวได้ราว 5.1% จากที่คาดจะโตได้ราว 7.0% เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตที่เร่งตัวสูงจากภาวะเงินเฟ้อ

อัตราการเติบโตนี้ ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการเติบโตของอาหารในกลุ่มโปรตีน ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 8.8% ในปีนี้ ในขณะที่ปริมาณการบริโภคโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ในภาพรวมอาจหดตัว (ติดลบ 3.1%) เพราะผู้บริโภคควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมมากขึ้น โดยการเลือกซื้ออาหารทั่วไปที่ราคาถูกกว่าและหาซื้อได้ง่ายกว่า

ท่ามกลางกำลังซื้อและงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงเป็นข้อจำกัดของการเพิ่มยอดขายหรือฐานลูกค้าใหม่สำหรับสินค้าโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง ตลอดจนผู้บริโภคเป้าหมายซึ่งยังเป็นเพียงผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มที่มีจำนวนไม่มากในไทย (อาทิ กลุ่มผู้ออกกำลังกาย กลุ่มรักสุขภาพ-ควบคุมอาหาร กลุ่มรักสิ่งแวดล้อม ฯลฯ) ซึ่งก็อาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคไปตามกำลังซื้อได้เช่นกัน

นอกจาก ประเด็นเรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคและการแข่งขันกับอาหารโปรตีนทั่วไปแล้ว การดำเนินธุรกิจโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ในปี 65 ยังมีความท้าทายสำคัญจาก

1. การแข่งขันที่เริ่มรุนแรงจากจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็กมากกว่ารายใหญ่ เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะระบบการผลิตที่ครบวงจร การผลิตที่ประหยัดต่อขนาด มีช่องทางจัดหน่ายของตนเองครอบคลุมทั่วประเทศ จึงทำราคาสินค้าได้ดี-แข่งขันได้ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กมักเผชิญกับข้อจำกัดดังกล่าว จึงทำให้มีต้นทุนการผลิตและค่าการตลาด อาทิ ค่าส่วนแบ่งการขาย (ค่า GP) เป็นต้น ที่สูงกว่าและเข้าถึงผู้บริโภคได้ยากกว่า

ดังนั้น ทำให้คาดว่าในระยะต่อไป การขับเคลื่อนของธุรกิจจะยังมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่การปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก อาจอยู่ที่การรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง หรือการพิจารณาร่วมพัฒนาธุรกิจกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจและผลักดันการเติบโตของตลาดนี้

2. ความเสี่ยงจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น วัตถุดิบหลักในการผลิตโปรตีนทางเลือกของไทย ส่วนใหญ่ยังมาจากถั่วเหลือง และไทยยังพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลืองในสัดส่วนที่สูง ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ราคาธัญพืชโลก ราคาพลังงานและค่าขนส่งที่ยังมีแนวโน้มขยับขึ้นได้อีกในช่วงที่เหลือของปี 65 อาจทำให้ธุรกิจมีภาระต้นทุนที่ขยับสูงขึ้น

ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าการพัฒนาวัตถุดิบทางเลือกน่าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งการเลือกใช้วัตถุดิบใดๆ คงต้องคำนึงถึงต้นน้ำหรือระบบการผลิตที่ต้องมีความมั่นคงเพียงพอในระยะยาวและอาจคำนึงถึงวัตถุดิบท้องถิ่นที่เป็นอัตลักษณ์เพื่อสร้างความแตกต่างควบคู่ไปด้วย

โดยภายใต้ความท้าทายของตลาดในประเทศ การมองหาตลาดส่งออกเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับการขยายตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ เพราะการตอบรับในตัวสินค้าของผู้บริโภคในต่างประเทศมีค่อนข้างสูงกว่าตลาดในประเทศ สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ที่สามารถเติบโตได้ดี ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 ทั้งในส่วนของโปรตีนทางเลือกจากพืช (มูลค่าการส่งออกราว 628.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 13.5% YoY) ซึ่งมีตลาดศักยภาพสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่นและอาเซียน เป็นต้น และโปรตีนจากแมลง (มูลค่าการส่งออกราว 129.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 25.0% YoY) ซึ่งมีตลาดศักยภาพส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เบลเยียม เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ในการขยายตลาดส่งออกก็อาจมีค่าใช้จ่ายและการแข่งขันกับสินค้าอาหารในประเทศปลายทางที่สูงเช่นกัน นอกเหนือจากโจทย์ด้านการเพิ่มรอบของการบริโภคเพราะอายุของผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะกลุ่มแช่เย็นแช่แข็งที่ค่อนข้างยาว ดังนั้น การศึกษาโอกาสทางการตลาดเชิงลึกที่รอบด้าน ควบคู่กับการชูจุดแข็งในสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เมนูอาหารไทย อาหารทะเลจากพืช เป็นต้น กระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการสร้างเรื่องราวที่จูงใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย จะยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ค. 65)

Tags: , ,

Adblock test (Why?)


วิจัยกสิกรฯ ชี้ตลาดโปรตีนทางเลือกปีนี้เจอข้อจำกัด จากผลกระทบค่าครองชีพ-ต้นทุนสูง : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์
Read More

Thursday, July 21, 2022

คนอีสานจากอดีต-ปัจจุบัน กับทางเลือกใหม่ของการเมือง (5) - ฐานเศรษฐกิจ

     นอกจากนั้น เตียง ยังมีบทบาทร่วมกับขบวนการกู้ชาติในอินโดจีน บทบาทสำคัญดังกล่าว ทำให้ชาวอีสานส่วนใหญ่ต่างมีความภาคภูมิใจและสำนึกร่วมกัน ด้วยเตียงมีผลงานที่ดีเด่นทั้งในสภาฯ และนอกสภา ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร เขามีความใก้ลชิดกับชาวบ้าน จนได้เข้าไปนั่งในหัวใจของชาวสกลนคร อย่างแท้จริง 

     ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เตียงเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากเห็นว่า ภาคอีสาน ซึ่งเผชิญกับปัญหาการด้อยพัฒนา ได้รับการดูถูกดูแคลนทางวัฒนธรรม และข้อจำกัดของตัวระบบราชการที่ขึ้นอยู่กับส่วนกลางเป็นหลัก เตียงจึงเกิดแนวคิดที่มุ่งหวังอยากให้ประเทศเจริญก้าวหน้า โดยทัดเทียมเป็นที่ยอมรับในสังคมการเมืองระหว่างประเทศ  

     แนวคิดทางการเมืองของเตียง คือ แนวคิดท้องถิ่นนิยม เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาไปสู่ท้องถิ่นของตน โดยเฉพาะจังหวัดสกลนครและภาคอีสาน ด้วยอุดมการณ์ว่า "เราจะร่วมกันทำงานให้แก่ประเทศชาติและมาตุภูมิด้วยความเสียสละ เพื่อประโยชน์ของชาติของท้องถิ่นยิ่งกว่าชีวิตของตน" 

     นอกจากเตียงจะเป็นผู้รักประชาชน รักท้องถิ่น มีแนวคิดท้องถิ่นนิยมดังกล่าว แต่เตียงก็มิได้เป็นผู้แนวคิดท้องถิ่นนิยมแบบคับแคบแต่อย่างใด เขายังเป็นผู้มีแนวคิดทางการเมืองแบบสังคมนิยม ที่เน้นให้ราษฎรทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน ดังที่เขาเคยเขียนก่อนเข้าสู่การเมืองว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนไทย ข้าพเจ้าเป็นไทแก่ตนเอง ข้าพเจ้าเป็นราษฎรไทย ราษฎรสยาม ทั้งข้าพเจ้าต้องการให้ทุกๆ คนบนพื้นดินอันเป็นสยามประเทศนี้ เป็นราษฎรเสมอหน้ากันหมด ปราศจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความเป็นราษฎร จึงเป็นอุดมคติที่ข้าพเจ้าบูชาอีกอันหนึ่ง" 

     บทบาทของเตียงในสภา มีมากมายในการพยายามให้รัฐบาลมุ่งพัฒนาพื้นที่ภาคอีสาน ทั้งทางเศรษฐกิจ การศึกษา สาธารณสุข และการคมนาคม ถือว่าเตียงเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ของภาคอีสานที่สำนึกในความเป็นไทย จึงเป็นบทบาทที่มีส่วนผลักดันให้เข้าถึงความจริงที่ว่า ราษฎรอีสาน หรือ ชนบทส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการศึกษา ไม่ได้รับการบำรุงจากรัฐบาลอย่างเพียงพอ จนในที่สุดสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนอีสานจังหวัดต่างๆ เริ่มดีขึ้นจากแนวคิดและการต่อสู้ของนักการเมืองท่านนี้ 

     สรุปได้ว่า นายเตียง ศิริขันธ์ มีแนวคิดทางการเมืองแบบลักษณะท้องถิ่นนิยม สังคมนิยม เสรีนิยม และพัฒนาไปสู่ลักษณะชาตินิยมที่มีจุดมุ่งหมายต้องการสร้างสรรค์ความเจริญให้แก่ท้องถิ่นและความก้วหน้าของประเทศชาติด้วยความเสียสละ โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบากด้วยความเป็นผู้มีจิตใจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวอดทนเป็นที่สุด และถือว่าการแก้ไขความทุกข์ยากของราษฎร เป็นหน้าที่สูงสุดของชีวิตการเป็นนักการเมือง จนเป็นที่ยอมรับของชาวสกลนครและชาวอีสาน 

     เตียง ศิริขันธ์ ทำหน้าที่ ส.ส.ได้อย่างดียิ่ง เมื่อเป็นฝ่ายค้าน ก็พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างจริงจัง จึงทำให้ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างกว้างขวางในเขตท้องถิ่น โดยเตียงได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับแกนนำอีสาน โดยมี ทองอินทร์ จำลอง และ ถวิล เป็นสหายร่วมอุดมการณ์ จนถูกขนานนามว่า"สี่เสืออีสาน" เป็นทีมเวิร์คที่เข้มแข็งในสภาผู้แทนราษฎร 

     ในที่สุดบทบาททางการเมืองของเตียง ก็ต้องสิ้นสุดลงในสมัยรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อเพื่อน ส.ส.อีสานถูกวิสามัญฆาตกรรมทางการเมืองอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนด้วยการยิงทิ้ง ที่ทุ่งบางเขน กรุงเทพฯ เตียงได้หลุดรอดชีวิตไปได้ แต่ภายหลังวิกฤตการณ์ทางการเมือง เกิดรัฐประหาร 2490 และกบฏวังหลัง 2492 นั้น แม้เตียงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ต่อมาอีกในปี 2492 และ 2495 แต่บทบาททางการเมืองของเขาก็ลดลง และได้หายตัวไปอย่างลึกลับ โดยมาปรากฏภายหลังว่า ถูกรัฐตำรวจ ภายใต้การนำของอธิบดีตำรวจ เผ่า ศรียานนท์ ส่งอัศวิน และพรรคพวกเขา รัดคอตายและนำไปย่างศพ ฝังทิ้งที่ป่าจังหวัดกาญจนบุรีเมื่อเดือนธันวาคม 2495 ขณะมีอายุเพียง 43 ปี พร้อมกับอดีตเสรีไทยอย่างนายชาญ และ เล็ก บุนนาค 

     นักการเมืองอีสาน ที่เป็นทั้งนักการเมืองและนักต่อสู้ ที่มีความรู้ความสามารถ มีความกล้าหาญ ซื่อสัตย์สุจริต กล้าต่อสู้ เพื่อประเทศชาติและประชาชน โดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเองนั้น ถือเป็นแบบอย่างอันยิ่งใหญ่ของนักการเมืองอีสาน และนักการเมืองไทย ที่สมควรได้รับการยกย่อง ได้รับเกียรติและความเคารพนับถือจากประชาชน 

     การจากไปของ นายเตียง ศิริขันธ์ ถือเป็นการจากไปของวีรบุรุษนักประชาธิปไตย สมควรอย่างยิ่ง ที่ทุกคนโดยเฉพาะชาวอีสานทุกคน จะต้องตระหนัก และรำลึกถึงคุณูปการอันใหญ่หลวงของท่านผู้นี้ ที่มีต่อพี่น้องชาวสกลนครและต่อประเทศชาติอย่าง ขุนพลภูพาน โดยแท้จริง 

Adblock test (Why?)


คนอีสานจากอดีต-ปัจจุบัน กับทางเลือกใหม่ของการเมือง (5) - ฐานเศรษฐกิจ
Read More

'อดุลย์' ปลุกปชช.ลงมติซักฟอก 11 รมต.ทางออนไลน์คู่ขนานสภา จี้ 'ประวิตร' เลิกหนุน 'ประยุทธ์' - ไทยโพสต์

ประธานญาติวีรชนฯเชิญชวนปชช.ลงมติไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจ 11 รมต.ทางออนไลน์คู่ขนานสภา ผ่านทีวี4 ช่อง แสดงพลังประชาธิปไตยทางตรง ขึ้นบัญชีหนังหมาส.ส.กิน'กล้วย จี้ 'ประวิตร' เลิกหนุน 'ประยุทธ์' คุยทุกพรรคร่วมแก้วิกฤตประเทศ

22 ก.ค.2565 - นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า การอภิปรายไม่วางใจครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ จะเป็นบททดสอบว่าสภาผู้แทนราษฎรที่ประชาชนให้โอกาสแล้วจะทำหน้าที่สมบูรณ์แบบหรือไม่ และภาคประชาชนจะมีส่วนร่วมในการพิจารณาให้คะแนนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างไร ในโอกาสนี้ “เครือข่ายเสียงประชาชน” ซึ่งเป็นการริเริ่มของกลุ่มนักวิชาการจาก 4 มหาวิทยาลัยได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยรังสิต และเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนที่ร่วมกันจัดงาน 30 ปีพฤษภาประชาธรรม ร่วมกับสื่อโทรทัศน์ดิจิทัล 4 ช่อง ได้แก่ เนชั่น ไทยรัฐทีวี ข่าวเวิร์คพอยท์ และพีพีทีวี ได้ร่วมกันทำโครงการ ‘เสียงประชาชนลงมติไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจรัฐบาล’ เปิดให้ประชาชนได้ลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทางออนไลน์คู่ขนานกับการลงมติของ สภาผู้แทนราษฎร โดยสื่อโทรทัศน์ดิจิทัลที่ร่วมโครงการจะนำ”คิวอาร์โค้ด” ขึ้นหน้าจอให้ประชาชนแสกนลงมติโหวตทางโทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคมนี้เวลา 18.00 น. จนถึงวันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคมเวลา 11.00 น.

"สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นในรัฐบาลชุดนี้ คือการทำทุกวิธีการตั้งแต่การเขียนรัฐธรรมนูญและการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอำนาจการต่อรองทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องและตนเอง โดยไม่คำนึงถึงประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนออกมาแสดงพลังช่วยเหลือตัวตนเองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยไม่ต้องฝากความหวังไว้กับพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน แต่พรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กลับไม่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยและประเทศชาติอย่างแท้จริง ล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของพรรคและตนเองอย่างชัดเจน ดังนั้นถึงเวลที่ประชาชนต้องออกมาแสดงพลังประชาธิปไตยทางตรง โดยการโหวตลงมติไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้ง 11 คน เพื่อพิสูจน์ว่าประชาชนคือเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง และให้จับตา ส.ส.คนใดลงมติปราศจากเหตุผล แต่ทำตามใบสั่งหรือได้รับ"กล้วย"ให้ขึ้นบัญชีหนังหมาไว้ เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งต้องสั่งสอนอย่าให้ได้กลับมาเป็นส.ส.อีก"นายอดุลย์ กล่าว

นายอดุลย์ กล่าวด้วยว่า ในขณะที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์วิกฤตรอบ ทางรอดจากวิกฤติมีทางเดียวต้องเปลี่ยนผู้นำประเทศดังเช่นประเทศต่างๆที่ประชาชนออกมาเรียกร้องจนเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำไปแล้ว หากยังปล่อยไปเช่นนี้ประเทศอาจเป็น”รัฐล้มเหลว”แบบศรีลังกาได้ ภายใต้เงื่อนไขของการเมืองในปัจจุบัน มีเพียง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชารัฐ เท่านั้น ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำได้ และเมื่อบอกว่าตนเองไม่เกี่ยวกับการรัฐประหาร ชี้ชัดว่าพล.อ.ประยุทธ์ ทำคนเดียว จนทำให้ประเทศหายนะถึงทุกวันนี้ ก็ถึงเวลาแล้วที่พล.อ.ประวิตร จะได้เลือกระหว่าง โมฆะบุรุษ หรือ รัฐบุรุษ จึงขอให้เลิกสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้มีบารมีที่สามารถพูดคุยกับทุกพรรค ในการให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาวิกฤตทุกด้านของประเทศได้

Adblock test (Why?)


'อดุลย์' ปลุกปชช.ลงมติซักฟอก 11 รมต.ทางออนไลน์คู่ขนานสภา จี้ 'ประวิตร' เลิกหนุน 'ประยุทธ์' - ไทยโพสต์
Read More

จีนเผยความสูญเสียทางศก.จากภัยธรรมชาติเกิน 8.8 หมื่นล้านหยวนใน H1/65 : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์

กระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินของจีนเปิดเผยวันนี้ (21 ก.ค.) ว่า ความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยตรงของจีน ที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีมูลค่า 8.881 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 1.313 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)

นางเฉิน จานลี โฆษกกระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉิน เปิดเผยในการแถลงข่าวว่า ตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย. ปีนี้ ภาวะอุทกภัยและพายุลูกเห็บนับเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในจีน ขณะที่ภัยแล้ง, สภาพอากาศหนาวจัด, แผ่นดินไหว, ภัยพิบัติจากหิมะ และไฟป่าเกิดขึ้นในระดับที่รุนแรงแตกต่างกันไป

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประชาชนเกือบ 39.14 ล้านคนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีผู้เสียชีวิตหรือสูญหาย 178 ราย และผู้อยู่อาศัย 1.28 ล้านคนต้องย้ายที่อยู่

นางเฉิงยังระบุว่า มีบ้านเรือนพังถล่มกว่า 18,000 หลัง และพื้นที่เพาะปลูก 3.62 ล้านเฮกตาร์ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ค. 65)

Tags: , , ,

Adblock test (Why?)


จีนเผยความสูญเสียทางศก.จากภัยธรรมชาติเกิน 8.8 หมื่นล้านหยวนใน H1/65 : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์
Read More

นักวิชาการ มธ. เสนอกลไกทางเลือกแก้ PM 2.5 - ไทยโพสต์

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ม.ธรรมศาสตร์ แนะ ควรให้ ‘อำนาจสั่งการ’ คกก.อากาศสะอาด ดำเนินมาตรการข้ามหน่วยงาน พร้อม ‘บูรณาการงบประมาณ’ ตามภารกิจ...